Thursday, December 24, 2009

VDO แห่งความสำเร็จ ที่จะเป็นกำลังใจให้คุณไม่ท้อถ้อย แม้อุปสรรค์จะหนักเพียงใด

คนทุกคนต้องมีวันที่ท้อใช่มั้ยครับ

แต่ถ้าพยายามลุกขึ้นไม่ว่าจะกี่ครั้ง

มันนจะไม่ใช่จุดจบ!!!






ขอให้ทุกคนมีกำลังจะลุกขึ้นต่อไป

แม้ร่างกายจะหมดแรง แต่ขอให้เข็มแข็งเข้าไว้ครับ

ขอบคุณผู้แนะนำ : WinPlu$ จาก forums.thaisem.com

Monday, December 14, 2009

รพ.รามาฯใช้ฟิลม์เอ็กซเรย์ทำเกราะกันกระสุน

.

รพ.รามาธิบดีได้ร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ คณะวิจัย สบ.3 กองวิทยาการณ์จังหวัดตาก เปิดตัวการสร้างเสื้อเกราะกันกระสุนหญิงซึ่งทำจากฟิลม์เอ็กซเรย์เหลือใช้ 20 ตัวแรกของโลก เพื่อให้เจ้าหน้าที่กองกำลังรักษาดินแดนหญิงใน 3 จังหวัดภาคใต้ได้ใช้กัน

คุณสมบัติของฟิลม์เอ็กซเรย์

- ยืดหยุ่น
- ทนความร้อน
- ลดแรงกระแทก

ด้วยคุณสมบัติขั้นต้นและจากนั้นติดเข้าด้วยกันด้วยลิคิวลาเมอร์ ซึ่งมีลักษณะเหมือนกาวที่มีความคงทนมาปิดฟิล์มที่เรียงเป็นชั้นให้สนิท และใช้เคลือบฟิล์ม จากนั้นจึงหาตัวยึดติดแผ่นฟิล์มที่ซ้อนกันให้แน่น ก่อนนำมาเย็บใส่กับเสื้อกั๊กใช้สวมใส่เป็นเกาะเก็บกระสุน(ดูดกระสุน) ไม่ใช่กันกระสุนเข้า

ข้อมูลเกราะกันกระสุน

- ทำจากฟิลม์เอ็กซเรย์ 44 แผ่น (หน้า 22 หลัง 22)
- น้ำหนัก 4 kg.
- ทำหน้าที่ได้ดีกว่าเกราะเหล็กที่ใช้อยู่ปัจจุบัน
- ใช้ป้องกันกระสุนปืนพกทั่วไป คือ จุด 22, จุด 38, 11 มม., 357 แม็คนัม

โรงพยาบาลรามาฯได้เป็นต้นแบบมอบฟิล์ม เอ็กซเรย์ที่เหลือใช้จำนวน 43,200 กิโลกรัม หรือ 43 ตัน ราคากว่า 2,000,000 บาท มอบให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจคณะวิจัย สบ.3 กองวิทยาการจังหวัดตาก นำไปผลิตเป็นเสื้อเกราะกันกระสุนสำหรับสตรี ซึ่งเป็นอาสาสมัคร เพื่อใช้ใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ทั้งนี้ราคาต้นทุนของเสื้อเกาะหากทำด้วยฟิล์มเอ็กซเรย์เพียง 6,000 บาท มีอายุการใช้งานถึง 10 ปี ขณะที่ต่างประเทศมีต้นทุนการทำเสื้อเกราะในราคาสูง ตกตัวละ 30,000 -50,000 บาท



จึงใคร่ขอประกาศเชิญชวนทุกโรงพยาบาลทั่วประเทศ ร่วมช่วยเหลืออาสาสมัครหญิงใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ด้วยการบริจาคฟิล์มให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อนำไปผลิตหรือออกเป็นเสื้อ เกราะที่ใช้รักษาความปลอดภัยในการดำรงชีวิต และการช่วยเหลือเยียวยาประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

ตอนนี้ผมกำลังหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการบริจาคมาให้ เผื่อมีใครอยากบริจาคเป็นเงินหรืออื่นๆ

Tuesday, November 24, 2009

อาหารที่ทำให้คุณสวยขึ้นได้

ผู้หญิงส่วนใหญ่ หรือแม้กระทั่งผู้ชายก็ตามมักอยากมีผิวพรรณผ่องใส ไร้รอยเหี่ยวย่น มีผมสวยสิ่งเหล่านี้เมื่อร่วมกันทำให้คนๆนั้นมีแรงดึงดูดความสนใจของผู้ได้พบเห็น อาหาร บางชนิดทำให้คุณดูดีได้ เช่น


น้ำดื่มที่สะอาด การดื่มน้ำที่เพียงพอทุกวันจะทำให้ผิวของคุณชุมชื้น ไม่เหี่ยวย่นและยังช่วยขับสารพิษออกจากร่างกายด้วย


ผมไม้ตระกูลส้ม จะช่วยยึดเซลล์ผิดหนังไว้ด้วยกัน โดยจะสร้างคอลลาเจน


แครอท อุดมด้วยเบต้าแคโรทีน ซึ่งช่วยรักษาให้ผิวด้านนอกไม่แก้ก่อนวัย และยังช่วยให้เส้นผมแข็งแรงอีกด้วย


กระเทียม จะช่วยต้านความเหี่ยวย่นของผิวหนัง


ปลา มีโอเมก้า 3 ช่วยให้เลือดไหลเวียน เป็นแหล่งของโปรตีนที่ดี ช่วยป้องกันการเหี่ยวย่นและดูแก่ก่อนวัย


หอยนางรม มีคอลลาเจนมาก ซึ่งช่วยซ่อมแซมผิวหนังที่ถูกทำบายได้


มันเทศ มีเบต้าแคโรทีนสูง จะช่วยป้องกันผิวไม่ให้ถูกทำลายและยังมีวิตามิน E ซึ่งช่วยให้ผิวเรียบ


มะเขือเทศ เต็มไปด้วยสารแอนติออกซิแดนท์ ช่วยป้องกันผิดจากแสงแดดและมีผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้นเมื่อนำมาทำให้สุกโดยการประกอบอาหาร


บลูเบอร์รี่ มีคุณสมบัติป้องกันการอักเสบ การแก่ก่อนวัย และทำให้ผมสวยเป็นเงางาม


Powered by Qumana

Sunday, November 22, 2009

ชาวจีนโหวตให้สมเด็จพระเทพฯ มิตรที่ดีที่สุดในโลก อันดับที่ 2



เมื่อประชาชนชาวจีนส่งผลโหวตผ่านอินเตอร์เน็ต เพื่อสำรวจว่า "ใครเป็นมิตรที่ดีที่สุดของจีน" ในรอบหนึ่งศตวรรษที่ผ่านมา
ปรากฎว่า ประชาชนชาวจีนกว่า 2 ล้านคน โหวตให้สมเด็จพระเทพรันตราชสุดาฯ ทรงเป็นมิตรที่ดีที่สุดของจีนในรอบ 100 ปีที่ผ่านมา และทรงอยู่ในลำดับที่ 2 ของผลโหวต
การโหวตนี้ทำขึ้นเนื่องในโอกาส ร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 60 ปี ก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์ของจีน
โดยเป็นความร่วมมือกันระหว่างสมาคมมิตรภาพกับประเทศต่างชาติแห่งประชาชนจีน กับองค์การบริหารผู้เชี่ยวชาญกิจการต่างประเทศ และได้รับการสนับสนุนจากสถานีวิทยุสากลจีน (ซีอาร์ไอ) จัดการโหวตทางออนไลน์ให้กับตำแหน่งมิตรแห่งชาติ 10 อันดับ ของประชาชนชาวจีน โดยเริ่มให้ชาวจีนโหวตตั้งแต่วันที่ 31 ส.ค.-10 ต.ค.ที่ผ่านมา
สำหรับผลโหวตของนักท่องเน็ตชาวจีนที่ได้มีการโหวตถึงมิตรที่ดีที่สุดในโลกของชาวจีนจำนวน 10 คน จาก จำนวน 50 คน ในรอบหนึ่งศตวรรษที่ผ่านมา
มีการประกาศผลเมื่อวันที่ 9 ต.ค. ดังนี้
1. ฮวน อันโตนิโอ ซามารานซ์ อดีตประธานโอลิมปิกสากล ชาวสเปน ที่เป็นผู้สนับสนุนให้จีนได้จัดกีฬาโอลิมปิกในปี 2008
2. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
3. Norman Bethune นายแพทย์ชาวแคนาดา ผู้เสียชีวิตในสงครามจีน ญี่ปุ่น ในปี 1930s โดยการรักษาชีวิตของทหารจีน
4. John Rabe ชาวเยอรมันผู้ช่วยชีวิตชาวจีน 250,000 คน ระหว่างการสังหารโหดที่นานกิง โดยการรุกรานของญี่ปุ่น
5. Edgar Snow นักเขียนอเมริกันผู้เขียน "Red Star over China" in the 1930s ที่ทำให้กองทัพแดงและประธานเหมาเจอตุงเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก

6. Dr.Joseph Needham นักวิทยาศาสตร์ ชาวอังกฤษผู้ใช้เวลาเกือบห้าสิบปี ในการประพันธ์ "Science and Civilisation in China".

7. Israel Epstein ชาวโปแลนด์เชื้อชาติจีน
8. Rewi Alley นักการศึกษา นิวซีแลนด์
9. Kwarkanath S. Kotnis นายแพทย์ชาวอินเดีย
10. นาย Morihiko Hiramatsu อดีตผู้ว่าราชการจังหวัด Oita ประเทศญี่ปุ่น 8 สมัย ซึ่งเป็นผู้นำการพัฒนาโครงการ หนึ่งหมู่บ้านหนึ่งผลิตภัณฑ์ (One Village One Product) ที่เรียกย่อว่า OVOP แล้วเมืองไทยมาลอกเลียนเป็น OTOP นั่นเอง
การจัดให้ประชาชนได้โหวตอย่างสร้างสรรค์ ย่อมสร้างแต่ความสัมพันธ์อันดีและถือเป็นการแสวงหา "เพื่อน" หรือ "มิตร" ไปทั้งโลก
ต้องขอชมเชยชาวจีนทุกท่าน ที่จัดให้มีประเด็นสร้างสรรค์ต่อโลกในครั้งนี้
ในฐานะพสกนิกรของพระราชวงศ์จักรีคนหนึ่ง
ต้องบอกว่านี่นับเป็นข่าวที่น่าปิติยินดีเป็นอย่างยิ่ง
ขอพระองค์ทรงพระเจริญ
แคน ไทเมือง
@@@@@@@@@@@@@@@@@

รายละเอียดอ่านจากข่าวของไทยรัฐดังนี้..
จีนโหวตทางเน็ตฯ พระเทพ มิตรดีที่สุดในโลก
เผย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงได้รับการเทิดทูนและยกย่องจากชาวจีนให้เป็น "มิตรที่ดีที่สุดในโลก" อันดับที่ 2 โดยทรงได้รับคะแนนโหวตจากชาวจีนทั่วประเทศถึงกว่า 2 ล้านคะแนน คนไทยสุดปลื้มปีติที่ทรงได้รับการถวายพระเกียรติ หลังจากก่อนหน้านี้ทรงได้รับการถวายพระสมัญญาว่าเป็น "ทูตสันถวไมตรีไทย-จีน" และทรงทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีนแน่นแฟ้นมากขึ้นเป็นทวีคูณ จากการเสด็จฯเยือนจีนจนครบหมดทั่วทุกมณฑลของจีนที่กว้างใหญ่ไพศาล

นับเป็นข่าวที่พสกนิกรไทยสุดปลื้มปีติยินดีอย่างยิ่ง และถือเป็นประวัติศาสตร์อีกหน้าหนึ่งที่โลกและชนสองชาติคือไทย-จีน ต้องจารึกไว้ เมื่อสมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงได้รับการเทิดทูนและยกย่องจากชาวจีน ให้เป็น "มิตรที่ดีที่สุดในโลก"

หลังจากที่ทรงได้รับการยกย่องและได้รับพระสมัญญาว่าเป็น "ทูตสันถวไมตรีไทย-จีน" จากการที่ทรงเจริญสัมพันธไมตรี ด้วยการเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศจีนถึง 20 ครั้ง และยังเสด็จเยือนครบหมดแล้วในทุกมณฑลของจีน ซึ่งมีแผ่นดินที่กว้างใหญ่ไพศาลมาก
นับเป็นราชนิกูลพระองค์เดียวในโลกที่เสด็จเยือนจีนมากที่สุด ทำให้ทรงเป็นประดุจสัญลักษณ์ของมิตรภาพอันแน่นแฟ้นระหว่างไทย-จีน อีกทั้งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ยังทรงสนพระทัยในภาษาจีน รวมทั้งให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมของจีนอย่างมาก ส่งผลให้ ความสัมพันธ์ของไทย-จีน กระชับแน่นและมีความพัฒนามากขึ้นเป็นทวีคูณ

ทั้งนี้ ข่าวอันน่าปลื้มปีติครั้งนี้ เป็นที่เปิดเผยขึ้นเมื่อค่ำวันที่ 30 ต.ค. หลังจากมีรายงานว่า มีข่าวทางอินเตอร์เน็ตว่า สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้รับการโหวตทางอินเตอร์เน็ตจากชาวจีนทั่วประเทศ ด้วยคะแนนกว่า 2 ล้านคะแนน ให้สมเด็จพระเทพฯ เป็นมิตรที่ดีที่สุดในโลกอันดับ 2

โดยมิตรที่ดีที่สุดในโลกที่ชาวจีนโหวตให้เป็นอันดับ 1 คือ ฮวน อันโตนิโอ ซามารานซ์ อดีตประธานโอลิมปิกสากล ชาวสเปน ที่เป็นผู้สนับสนุนให้จีนได้จัดกีฬาโอลิมปิกในปี 2008 นอกจากนี้ยังมีการจัดอันดับมิตรที่ดีที่สุดในโลกของจีน ในอันดับอื่นๆ อีก แต่ส่วนใหญ่ผู้ที่ได้รับการโหวตเป็นผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว

ค่ำวัน เดียวกัน ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจากนายกวนมู่ เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ถึงข่าวอันเป็นที่น่ายินดีและสุดปลื้มปีติของคนไทย ในการที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงได้รับการยกย่องจากชาวจีนว่าเป็นมิตรที่ดีที่สุดในโลก ว่ายังไม่ทราบข่าวที่แน่ชัด แต่จะขอตรวจสอบไปทางประเทศจีนก่อนถึงข่าวอันน่ายินดีนี้และจะเปิดเผยให้ทราบ ต่อไป

อย่างไรก็ตามจากพระราชประวัติของสมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่มีผู้เขียนไว้เป็นรายงานพิเศษในบล็อกทางอินเตอร์เน็ต มีการระบุไว้ว่า สมเด็จพระเทพฯ หรือที่คนจีนทั่วไป คุ้นเคยกับการกล่าวขานพระนามของพระองค์ว่า "สิรินธร" ได้เสด็จเยือนประเทศจีนเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2524 และเพียง 23 ปี ให้หลังก็ทรงเสด็จเยือนจีนได้ครบหมดทุกมณฑล ทั้งที่บางมณฑลของจีนมีขนาดใหญ่กว่าประเทศไทย

นอกจากนี้สมเด็จพระเทพฯยังทรงเรียนภาษาจีนจนเชี่ยวชาญและยังทรงเคยเสด็จไป ศึกษาภาษาและวัฒนธรรมของจีน เพิ่มเติมถึงมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ประเทศจีน เป็นเวลา 1 เดือน เมื่อปี 2544 สร้างความประหลาดใจและปลาบปลื้มใจแก่ คณาจารย์ชาวจีนที่ถวายการสอนอย่างยิ่ง ว่าเหตุใดสมเด็จพระเทพฯจึงทรงให้ความสำคัญกับประเทศจีนและภาษาจีนขนาดนี้ และเมื่อช่วงเวลาแห่งการเรียนภาษาจีนสิ้นสุดลง ทางมหาวิทยาลัยได้ทูลเกล้าฯ ถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์แก่พระองค์ เมื่อวันที่ 13 มี.ค. 44 และก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 17 มี.ค. 2543 กระทรวงศึกษาธิการของจีน ก็ได้ทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลมิตรภาพภาษาและวัฒนธรรมจีนแด่สมเด็จพระเทพฯด้วย นอกจากนี้สมาคมมิตรภาพวิเทศสัมพันธ์แห่งประชาชนจีน ก็ได้ถวายสมัญญาพระนามแด่สมเด็จพระเทพฯ ให้ทรงเป็นทูตสันถวไมตรีไทย-จีนเมื่อวันที่ 26 ก.พ. 2547

นอกจากการ เรียนภาษาและวัฒนธรรมแล้ว สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ยังทรงเรียนการเขียนลายสือจีน การวาดภาพแบบจีน และฝึกรำมวยไทเก๊ก จนเชี่ยวชาญอีกด้วย จากการที่สมเด็จพระเทพฯ เสด็จเยือนจีนทุกปีในช่วงที่ผ่านมา ยังทรงถ่ายทอดประสบการณ์การเยือนแผ่นดินจีนตั้งแต่ครั้งแรก เป็นพระราชนิพนธ์ให้คนไทยได้อ่าน อาทิ สารคดีท่องเที่ยวเรื่อง ย่ำแดนมังกร มุ่งไกลในรอยทราย เกล็ดหิมะในสายหมอก ใต้เมฆที่เมฆใต้ เย็นสบายชายน้ำ คืนถิ่นจีนใหญ่และเจียงหนานแสนงามเป็นต้น ซึ่งทุกพระราชนิพนธ์ของสมเด็จพระเทพฯ ไม่เพียงจุดประกายให้คนไทยไปเที่ยวจีนมากขึ้น แต่ยังช่วยให้ คนไทยมีความเข้าใจในประเทศจีน คนจีนและวัฒนธรรมจีน เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณด้วย



ส่วน เว็บไซต์ที่มีการรายงานข่าวผลการโหวตของนักท่องเน็ตชาวจีน เป็นเว็บไซต์ของจีน คือ
www.echinacities.com/main/news/ShowNews.aspx?n=4233
www. m.cri.cn/681/2009/10/12/321s24813.htm
web.search.cctv.com/searchquery.php ?
http:// english.cctv.com/20091012/103661.shtml
ในเว็บไซต์
echinacities.com รวมถึงเว็บไซต์ m.cri.cn และเว็บไซต์ english.cctv.com
โดยเริ่มให้ชาวจีนโหวตตั้งแต่วันที่ 31 ส.ค.-10 ต.ค.ที่ผ่านมา
มีผู้ร่วมโหวตจำนวนทั้งสิ้น 56 ล้านเสียง
ส่วนพิธีมอบรางวัลคาดว่าซีอาร์ไอจะจัดขึ้นในไม่ช้านี้ แต่ในรายงานข่าวไม่ได้ระบุวันและสถานที่ชัดเจนแต่อย่างใด
อ่านต่อ..ข่าวไทยรัฐ..
ชาวจีนโหวตให้สมเด็จพระเทพฯ มิตรที่ดีที่สุดในโลก อันดับที่ 2

Sunday, November 15, 2009

ปรับแนวคิด: คิดบวก ชีวิตบวก


การคิดแต่ในสิ่งที่ดี คิดในแง่บวก
ไม่เพียงแต่ทำให้เรามีจิตใจผ่องใส
คลายความเครียดกับปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ลงได้
และยังสามารถเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส
เปิดให้เราเห็นมุมมองอีกด้านที่มีค่ายิ่งใหญ่
เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเราเอง
ในยามที่ตกอยู่ในห้วงของความทุกข์ได้อีกด้วย


เวลาเจองานหนัก ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือโอกาสในการเตรียมพร้อมสู่ความเป็นมืออาชีพ
เวลาเจอปัญหาซับซ้อน ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือบทเรียนที่จะสร้างปัญญาได้อย่างวิเศษ
เวลาเจอความทุกข์หนัก ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือแบบฝึกหัดที่จะช่วยให้เกิดทักษะในการดำเนินชีวิต
เวลาเจอนายจอมละเมียด ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือการฝึกตนให้เป็นคนสมบูรณ์แบบ (Perfectionist)
เวลาเจอคำตำหนิ ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือการชี้ขุมทรัพย์มหาสมบัติ
เวลาเจอคำนินทา ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือการสะท้อนว่าเรายังคงเป็นคนที่มีความหมาย
เวลาเจอความผิดหวัง ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือวิธีที่ธรรมชาติกำลังสร้างภูมิคุ้มกันให้กับชีวิต
เวลาเจอความป่วยไข้ ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือการเตือนให้เห็นคุณค่าของการรักษาสุขภาพให้ดี
เวลาเจอความพลัดพราก ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือบทเรียนของการรู้จักหยัดยืนด้วยขาตัวเอง
เวลาเจอแฟนทิ้ง ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือความเป็นอนิจจังที่ทุกชีวิตมีโอกาสพานพบ
เวลาเจอคนที่ใช่ แต่เขามีคู่แล้ว ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือประจักษ์พยานว่าไม่มีใครได้ทุกอย่างดั่งใจหวัง
เวลาเจอคนกลิ้งกะล่อน ให้บอกตัวเองว่า
นี่คืออุทาหรณ์ของชีวิตที่ไม่น่าเจริญรอยตาม
เวลาเจอคนเลว ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือตัวอย่างของชีวิตที่ไม่พึงประสงค์
เวลาเจออุบัติเหตุ ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือคำเตือนว่าจงอย่าประมาทซ้ำอีกเป็นอันขาด
เวลาเจอศัตรูคอยกลั่นแกล้ง ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือบททดสอบที่ว่า "มารไม่มีบารมีไม่เกิด"
เวลาเจอวิกฤต ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือบทพิสูจน์สัจธรรม "ในวิกฤตย่อมมีโอกาส"
เวลาเจอความจน ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือวิธีที่ธรรมชาติเปิดโอกาสให้เราได้ต่อสู้ชีวิต
เวลาเจอความตาย ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือฉากสุดท้ายที่จะทำให้ชีวิตมีความสมบูรณ์
จะไม่มีเชื้อโรคใดเจาะผ่านภูมิคุ้มกันของเราได้
หากมีจิตใจที่คิดแต่สิ่งดี ภายในวิกฤตที่เลวร้าย
หากใช้สติและเหตุผลพิจารณาอย่างรอบคอบ
เราอาจจะได้เห็นด้านดีๆ ของชีวิต ที่ซ่อนอยู่ก็ได้
โดย ท่าน ว.วชิรเมธี

ที่มา : Forward Mail

Friday, November 13, 2009

กลอนด่าเขมร - ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เมื่อปี ๒๕๐๒


" สัปดาห์นี้มีเรื่องความเมืองใหญ่
ไทยถูกฟ้องขับไล่ขึ้นโรงศาล
เคยเป็นเรื่องโต้เถียงกันมานาน
ที่ยอดเขาพระวิหารรู้ทั่วกัน

กะลาครอบมานานโบราณว่า
พอแลเห็นท้องฟ้าก็หุนหัน
คิดว่าตนนั้นใหญ่ใครไม่ทัน
ทำกำเริบเสิบสันทุกอย่างไป

อันคนไทยนั้นสุภาพไม่หยาบหยาม
เห็นใครหย่อนอ่อนความก็ยกให้
ถึงล่วงเกินพลาดพลั้งยังอภัย
ด้วยเห็นใจว่ายังเยาว์เบาความคิด

เขียนบทความด่าตะบึงถึงหัวหู
ไทยก็ยังนิ่งอยู่ไม่ถือผิด
สั่งถอนทูตเอิกเกริกเลิกเป็นมิตร
แล้วกลับติดตามต่อขอคืนดี

ไทยก็ยอมตามใจไม่ดึงดื้อ
เพราะไทยถือเขมรผองเหมือนน้องพี่
คิดตกลงปลงกันได้ด้วยไมตรี
ถึงคราวนี้ใจเขมรแลเห็นกัน

หากไทยจำล้ำเลิกบ้างอ้างขอบเขต
เมืองเขมรทั้งประเทศของใครนั่น ?
ใครเล่าตั้งวงศ์กษัตริย์ปัจจุบัน
องค์ด้วงนั้นคือใครที่ไหนมา ?

เป็นเพียงเจ้าไม่มีศาลซมซานวิ่ง
ได้แอบอิงอำนาจไทยจึงใหญ่กล้า
ทัพไทยช่วยปราบศัตรูกู้พารา
สถาปนาจัดระบอบให้ครอบครอง

ได้เดชไทยไปคุ้มกะลาหัว
จึงตั้งตัวขึ้นมาอย่างจองหอง
เป็นข้าขัณฑสีมาฝ่าละออง
ส่งดอกไม้เงินทองตลอดมา

ไม่เหลียวดู โภไคไอศวรรย์
ทั้งเครื่องราชกกุธภัณฑ์เป็นหนักหนา
ฝีมือไทยแน่นักประจักษ์ตา
เพราะทรงพระกรุณาประทานไป

มีพระคุณจุนเจือเหลือประมาณ
ถึงลูกหลานกลับเนรคุณได้
สมกับคำโบราณท่านว่าไว้
อย่าไว้ใจเขมรเห็นจริงเอย ... "



... คึกฤทธิ์ ปราโมช
หนังสือพิมพ์สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์
๑๘ ตุลาคม ๒๕๐๒

Tuesday, November 10, 2009

บัตรเติมเงินใช้แล้วมีค่า บริจาคมูลนิธิเพื่อเด็กพิการ



อย่าทิ้ง บัตรเติมเงิน บัตรโทรศัพท์ บัตรคอนเสิร์ต ท่านใช้แล้วมีค่า
...ช่วยหนูได้พื้นฟูความพิการ
...ช่วยหนูได้มีกายอุปกรณ์
...ช่วยหนูได้มีสื่อในการเรียนรู้

วัตถุประสงค์โครงการ

เพื่อนำเงินที่ได้จากการจำหน่ายบัตรเติมเงิน บัตรโทรศัพท์ บัตรคอนเสิร์ตที่ใช้แล้วไปช่วยฟื้นฟูและ และพัฒนาเด็กพิการตามโครงการและกองทุนต่างๆ ของมูลนิธิเพื่อเด็กพิการ
เพื่อรณรงค์ให้สังคม มีเจตคติที่ดีและมีส่วนร่วมสนับสนุนพัฒนาศักยภาพเด็กพิการ

เพื่อเปิดโอกาสให้กับผู้ที่สนใจทั่วไป หน่วยงาน องค์กร ต่างๆ ได้มีส่วนร่วมในการระดมทุนสนับสนุน การดำเนินกิจกรรมและให้การช่วยเหลือเด็กพิการได้พัฒนาอย่างเต็มตามศักยภาพ และอยู่ร่วมกับคนทั่ว
ไปในสังคม ได้อย่าง ปกติสุข

มูลนิธิเพื่อเด็กพิการ เป็นองค์กรพัฒนาเอกชน มุ่งเน้นการฟื้นฟู พัฒนาสมรรถภาพเด็กพิการแบบบูรณา
การ อย่างต่อเนื่องโดยครอบครัวและชุมชน
“ โครงการบัตรเติมเงินช่วยน้อง ” เป็นหนึ่งในโครงการ สะพานเชื่อมรัก...ถึงเด็กพิการโยงความ เอื้ออาทรจากคุณถึงเด็กพิการ โครงการบัตรเติมเงินช่วยน้อง รับบริจาคบัตรเติมเงิน บัตรโทรศัพท์บัตร คอนเสิร์ต ที่ใช้ เพื่อรวบรวมบัตรดังกล่าวจำหน่าย นำรายได้สนับสนุนโครงการ และเข้ากองทุนต่างๆ
เช่น กองทุนฟื้นฟูพัฒนาเด็กพิการ กองทุนอุปกรณ์เครื่องช่วย โครงการพ่อแม่อุปถัมภ์ ฯลฯ

สะพานเชื่อมใจ โยงใยความเอื้ออาทรจากคุณถึงเด็กพิการเพียงความเข้าใจและให้โอกาสสนุบสนุนการ
ฟื้นฟู พัฒนาสมรรถภาพเด็กพิการ

รูปแบบการรับบริจาคบัตรเติมเงิน บัตรโทรศัพท์ บัตรคอนเสิร์ต ที่ใช้แล้ว โดย
• ส่งทางไปรษณีย์ หรือมาบริจาคด้วยตนเองได้ที่มูลนิธิเพื่อเด็กพิการ 546 ลาดพร้าว 47 วังทองหลาง
กรุงเทพฯ 10310

Monday, November 9, 2009

การออกเสียงตัวอักษรภาษาอังกฤษทางโทรศัพท์

วิธีบอกเพื่อให้สะกดชื่อเฉพาะทางโทรศัพท์
( http://www.ntnu.no/international/english_matters/TELEPHON%20ALPHABET.htm )

เวลาเราพูดโทรศัพท์และต้องบอกให้อีกฝ่ายหนึ่งเขียนชื่อเฉพาะ เช่น ชื่อคน ชื่อสินค้า หรือชื่ออีเมลลงไป เรามักจะต้องสะกดให้เขาฟัง แต่การอ่านตัวสะกด a, b, c, d, … ให้เขาฟังเฉย ๆ โอกาสที่จะจดผิดมีมาก วิธีแก้ก็คือ ต้องหาคำเต็มของตัวอักษร a, b, c, d, …พูดควบไปด้วย จะได้แน่ใจว่าเขาฟังไม่ผิดและจดถูก และคำเต็มที่จะพูดควบนี้ก็ต้องเป็นคำศัพท์ที่เราแน่ใจว่าอีกฝ่ายหนึ่งเมื่อ ฟังปุ๊บก็รู้ปั๊บเลย
ซึ่งมีคำเต็มดังนี้ (โดยมากเป็นชื่อคน)

INTERNATIONAL TELEPHONE ALPHABET

A=Alfred
B=Benjamin
C=Charles
D=David
E=Edward
F=Frederick
G=George
H=Harry
I=Isaac
J=Jack
K=King
L=London
M=Mary
N=Nellie
O=Oliver
P=Peter
Q=Queen
R=Robert
S=Samuel
T=Tommy
U=Uncle
V=Victor
W=William
X=X-ray
Y=Yellow
Z=Zebra

อย่างไรก็ตาม มีความนิยมใช้คำเต็มที่เป็นชื่อประเทศมากกว่า ตามข้างล่างนี้ครับ

A=Australia
B=Belgium
C=Canada
D=Denmark
E=Egypt
F=Finland
G=Germany
H=Hong Kong
I=Ireland
J=Japan
K=Korea
L=Luxemburg
M=Malaysia
N=Norway
O=Oman
P=Poland
Q=Queen
R=Russia
S=Singapore
T=Thailand
U=United States
V=Vietnam
W=Western
X=X-ray
Y=Yellow
Z= Zebra

ส่วนถ้าคนฟังเป็นชาติอื่นที่ออกเสียงคำศัพท์แตกต่างจากคนอังกฤษ เช่น คนฝรั่งเศส สเปน ดัทช์ อิตาลี เยอรมัน เราคงไม่ต้องตามไปศึกษาการออกเสียงของเขาหรอกครับ คงต้องให้เขาฟังภาษาอังกฤษให้รู้เรื่องเอาเอง
แต่ถ้าท่านต้องการรู้ว่าชาติเหล่านี้เขาออกเสียงทั้ง 26 คำข้างบนว่ายังไง เชิญดูที่ http://www.mijnwoordenboek.nl/EN/telephone-alphabet.php

ที่มา:


Civil Aviation Organisation

A - Alfa
B - Bravo
C - Charlie
D - Delta
E - Echo
F - Foxtrot
G - Golf
H - Hotel
I - India
J - Juliett
K - Kilo
L - Lima
M - Mike
N - November
O - Oscar
P - Papa
Q - Quebec
R - Romeo
S - Sierra
T - Tango
U - Uniform
V - Victor
W - Whiskey
X - X-ray
Y - Yankee
Z - Zulu


แบบอื่น ดูจาก link รวมทั้งคำอ่านสำหรับสอนเด็กด้วยครับ

ที่มา:

Monday, October 26, 2009

ลาออกแบบมืออาชีพ สร้างความประทับใจกับที่ทำงานเก่า

ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่มีวันเลิกลา งานก็เช่นกัน ซักวันก็ต้องออก ออกไปทำธุระกิจส่วนตัว ออกเพราะได้งานใหม่ที่มีความก้าวหน้ากว่า หรือเรื่องเกี่ยวกับความสบายใจของตัวเอง เงิน งาน ผู้ร่วมงาน นานาสารพัดเหตุผล

"ผู้อย่างประทับใจ ไปอย่างมีเกียรติ"

สิ่งที่ควร

1.ปฎิบัติตามขั้นตอนอย่างมืออาชีพ ด้วยการแจ้งหัวหน้าคุณอย่างเป็นทางการการ และแจ้งเพื่อนร่วมงาน เพื่อนที่อยู่คนละแผนก นอกจากนั้นไม่ควรที่จะลาออกปุ๊บ ออกปับ ควรจะทำเรื่องก่อนลาออก 15 วันหรือ 30 วัน ตามมาตรฐาน

2.ยื่นจดหมายลาออกอย่างเป็นทางการ เพราะการลาออกจะมีผลจริงก็ต่อเมื่อได้รับอนุมัติจากผู้บริหาร ถ้าที่บริษัทไม่มีแบบฟอร์มให้ก็ต้องเขียนจดหมายลาออกอย่างเป็นทางการ ด้วยเนื้อความสั้นกระชับและให้เกียรติบริษัท จำไว้ว่าจดหมายลาออกไม่ใช่จดหมายรัก ดังนั้นไม่ว่าคุณจะคับแค้นหรือโกรธเกลียดที่ทำงานแค่ไหนก็ไม่จำเป็นต้อง ระบายความในใจยืดยาวลงในใบลาออกแต่ถ้าอยากให้บริษัทรับทราบถึงความอึดอัดขัด ใจจริงๆ ก็คงต้องปิดห้องแล้วเปิดอกคุยกับหัวหน้าสายงานอย่างมืออาชีพเขาทำกันจะดี กว่า

3.อย่าทิ้งงานที่ทำหรือโปรเจ็กต์ ที่ดูอยู่ไว้ครึ่งๆ กลางๆ ควรรีบสะสางงานให้เสร็จสิ้นทันก่อนไป

4.เลิกมีทัศนคติแบบ "ทำๆ ไปเถออะ ไม่ต้องทุ่มเทมากหรอก เดี๋ยวก็ออกแล้ว" ตรงกันข้ามเพราะหากคุณอยากออกจากงานอย่างน่าประทับใจและอยากให้เพื่อนร่วม งานทุกคนพูดถึงในทางที่ดีที่สุดทิ้งไว้เป็นอีกหนึ่งผลงานชิ้นโบแดง

5.แสดงสปิริตด้วยการเสนอตัวช่วย ถ่ายทอดหรือเทรนงานให้คนที่จะมาทำงานแทน ในกรณีที่บริษัทหาคนมารับงานได้แล้วก่อนถึงกำหนดวันลาออกของคุณ แต่ถ้าคุณออกไปก่อนก็ควรทิ้งเบอร์โทร.ที่ติดต่อได้ไว้ให้ เผื่อมีปัญหาจะต้องสอบถามกัน

6.เคลียร์โต๊ะทำงานให้เรียบร้อยก่อนออกจากไป อย่าทิ้งทุกอย่างโดยเฉพาะข้าวของส่วนตัวรกเรื้อไว้เป็นภาระของคนที่จะมาแทน ขณะเดียวกันข้าวของที่เบิกมาจากที่ทำงาน ถึงแม้จะมีคุณใช้คนเดียวก็ยังคงถือเป็นทรัพย์สมบัติออฟฟิศ สมควรต้องส่งคืน อย่าเผลอเก็บกลับบ้านไปด้วย

7.ถ้าอยากจากกันด้วยดีอย่าเอาเรื่องของออฟฟิศเก่าไปเม้าท์สาดเสียเทเสีย เพราะว่าความลับไม่มีในโลก และแน่ใจหรือว่าวันหนึ่งคุณจะไม่ต้องกลับมาพึ่งพาหรือเกี่ยวข้องกับที่ทำงาน เดิมอีกในเรื่องใดก็ตาม ไหนๆ การลาออกก็เป็นวิธีที่คุณเลือกจะเดินจากที่ทำงานที่คุณไม่อยากทำอีกแล้ว สิ่งที่ผ่านมาก็ถือเป็นประสบการณ์อย่างหนึ่งก็พอ

ที่มา: sanook.com

Tuesday, October 13, 2009

มากินข้าวกล้องกันดีกว่า !!!

ข้าวกล้องคืออะไร ?

คือข้าวที่สีเอาเปลือก (แกลบ) ออกโดยที่ยังมีจมูกข้าว และเยื่อหุ้มเมล็ดข้าว (รำ) อยู่ ข้าวกล้องจะมีสีน้ำตาลอ่อน ซึ่งจมูกข้าวและเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวนี้มีคุณค่าอาหารที่มีประโยชน์มาก

สำหรับข้าวขาวที่เรากินๆ กันอยู่นั้น เป็นข้าวที่เกิดจากการขัดสีหลายๆ ครั้ง จนเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวและจมูกข้าวหลุดออกไป จนเหลือแต่เนื้อในของข้าว

ข้าวกล้องบางคนเรียกกันติดปากว่า ข้าวซ้อมมือหรือข้าวแดง เนื่องจากในสมัยโบราณ ชาวบ้านใช้วิธีตำข้าวกินกันเอง จึงเรียกว่า ข้าวซ้อมมือ แต่ปัจจุบันเราใช้เครื่องจักรสีข้าวแทน จึงเรียกข้าวที่สีเอาเปลือกออกนี้ว่า ข้าวกล้อง

ข้าวกล้องมีโปรตีนประมาณ 7-12% (แล้วแต่พันธุ์ข้าว) นักค้นคว้าชื่อ โรสเดล ( Rosedale ) ได้วิเคราะห์ว่า การขัดสีข้าวกล้องจนมีสีขาว จะทำให้โปรตีนสูญหายไปประมาณ 30%

ประโยชน์มากมายของการกินข้าวกล้อง

ได้วิตามินบีรวม ช่วยป้องกันและบรรเทาอาหารอ่อนเพลีย แขน ขาไม่มีแรง ปวดกล้ามเนื้อ โรคผิวหนังบางชนิด บำรุงสมอง ทำให้เจริญอาหาร
ได้วิตามินบี 1 ซึ่งถ้ากินเป็นประจำจะช่วยป้องกันโรคเหน็บชาได้
ได้วิตามินบี 2 ป้องกันโรคปากนกกระจอก
ได้ฟอสฟอรัส ช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน
ได้แคลเซียม ทำให้กระดูกแข็งแรง ช่วยป้องกันไม่ให้เป็นตะคริว
ได้ทองแดง สร้างเมล็ดโลหิต และเฮโมโกลบิน
ได้ธาตุเหล็ก ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง
ได้โปรตีน ช่วยเสริมสร้างส่วนที่สึกหรอ
ได้ไขมัน ให้พลังงานแก่ร่างกาย ไขมันในข้าวกล้องเป็นไขมันที่ดี ไม่มีโคเรสเตอรอล
ได้ไนอะซิน ช่วยระบบผิวหนังและเส้นประสาท และป้องกันโรคเพลลากรา
(โรคที่เกิดจากการขาดไนอะซิน จะมีอาการท้องเสีย ประสาทไหว โรคผิวหนัง)
ได้คาร์โบไฮเดรต ให้พลังงานแก่ร่างกาย
ได้กากอาหาร ข้าวกล้องมีกากอาหารมาก ซึ่งจะทำให้ท้องไม่ผูก และช่วยป้องกันมะเร็งในลำไส้อีกด้วย
วิตามินและเกลือแร่ต่างๆ ในข้าวกล้องจะช่วยให้ส่วนต่างๆ ของร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

ข้าวกล้องมีอะไรดีกว่าข้าวขาว

ธาตุเหล็ก มีมากเป็น 2 เท่าช่วยป้องกันโลหิตจาง
ข้าวกล้องมีวิตามินบี 1 มากกว่าข้าวขาวประมาณ 4 เท่า ถ้ากินเป็นประจำ จะป้องกันโรคเหน็บชา
วิตามินบี 2 มีมากจะป้องกันโรคปากนกกระจอก
วิตามินบีรวม มีมากกว่าจะป้องกัน และบรรเทาอาการอ่อนเพลียและขาไม่มีแรง อาการปวดแสบและเสียวในขา ปวดน่อง ปวดกล้ามเนื้อ ลิ้นแตกหรือมีแผล ริมฝีปากเจ็บหรือมีแผล โรคผิวหนังบางชนิด โรคปลายประสาทอักเสบ และโรคเกี่ยวกับระบบประสาทบางชนิด
วิตามินบีรวม ยังบำรุงสมอง ทำให้เรียนเก่งขึ้นและเจริญอาหาร
ธาตุเหล็ก มีมากเป็น 2 เท่า ช่วยป้องกันโลหิตจาง
แคลเซียม มีมากกว่า จะทำให้กระดูกแข็งแรง ช่วยป้องกันไม่ให้เป็นตะคริว
ไขมัน มีมากกว่าให้พลังงานแก่ร่างกาย
กากอาหาร มีมากกว่าจะช่วยป้องกันท้องผูก และมะเร็งลำไส้ใหญ่
เกลือแร่และวิตามินต่างๆ ในข้าวกล้อง มีรวมกัน 20 กว่าชนิด มีหน้าที่ทำให้การทำงานของส่วนต่างๆ ของร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและเสริมสร้างส่วนที่สึกหรอ
โปรตีน มีมากกว่าช่วยเสริมสร้างส่วนที่สึกหรอ
แป้ง (คาร์โบไฮเดรต) มีน้อยกว่าข้าวขาว ช่วยลดความอ้วน ส่วนคนที่ผอมจะสมบูรณ์ขึ้น เนื่องจากได้รับสารอาหารต่างๆ ที่มีประโยชน์เพิ่มขึ้น
ประหยัดเงินทอง เพราะเจ็บป่วยน้อยกว่า ข้าวกล้องจะมีราคาถูกกว่า เพราะต้นทุนในการผลิตต่ำกว่า
มีผลทำให้สุขภาพจิตและสติปัญญาดีขึ้น เพราะสุขภาพกายดีขึ้น

ปริมาณสารอาหารในข้าวขาวกับข้าวกล้อง

สารอาหาร

ข้าวขาว

ข้าวกล้อง

วิตามิน – บี 1

4 จานกว่า

1 จาน

วิตามิน – บี 2

2 จาน

1 จาน

วิตามิน – บี 6

5 จานกว่า

1 จาน

กากข้าว

2 จานกว่า

1 จาน

ผลเสียของการกินข้าวขาว

โรคและอาการต่างๆ ต่อไปนี้ จะลดลงมากหรือป้องกันได้ ถ้ากิน ข้าวกล้อง เป็นประจำ และกินอาหารเพียงพอและถูกหลัก

โรคเหน็บชา เพราะขาดวิตามิน-บี 1 ข้าวกล้องมีวิตามิน-บี 1 มากกว่าข้าวขาว 385% (พบมากในประเทศที่กินข้าวขาวเป็นอาหารหลัก)
โรคปากนกกระจอก เพราะขาดวิตามิน-บี 2 ข้าวกล้องมีวิตามิน-บี 2 มากกว่าข้าวขาว 66% (ตามชนบทมีเด็กเป็นโรคปากนกกระจอก 60%)
โรคโลหิตจาง เพราะขาดธาตุเหล็ก เนื่องจากข้าวกล้องมีธาตุเหล็กมากกว่าข้าวขาว 2 เท่า (ประชากรไทยเป็นโรคโลหิตจาง 40%)
โรคนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ (พบมากทางภาคเหนือและภาคอีสาน โดยเฉพาะในเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี) เกี่ยวเนื่องจากมาจากการขาดธาตุฟอสฟอรัส และอื่นๆ ซึ่งมีในข้าวกล้อง นอกจากนั้น ฟอสฟอรัสยังช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูกและฟันอีกด้วย
โรคท้องผูก เพราะมีกากอาหารน้อย ข้าวกล้องมีกากอาหารมากกว่า 133% (ข้าวกล้องช่วยป้องกันท้องผูก และมะเร็งลำไส้ใหญ่)
โรคทางระบบประสาทบางชนิด และโรคปลายประสาทอักเสบ เพราะขาดวิตามินบีรวม ซึ่งมีมากในข้าวกล้อง (วิตามินบีรวม ช่วยบำรุงสมอง ทำให้เรียนเก่งขึ้น และเจริญอาหาร)
อารมณ์เสียง่ายกว่า หงุดหงิดเพราะชาดวิตามินบีรวม ซึ่งเป็นวิตามินที่เสริมสร้างระบบประสาทของร่างกาย และถ้าระบบประสาทของเราไม่ดี ทำให้เราควบคุมอารมณ์ได้ไม่ดีนัก
เบื่ออาหาร เพราะขาดวิตามินบีรวม ซึ่งข้าวกล้องมีมากกว่าข้าวขาว
โรคขาดโปรตีน ข้าวกล้องมีโปรตีน ร้อยละ 7-12 (เด็กไทยประมาณร้อยละ 40-60 เป็นโรคขาดโปรตีนและพลังงาน) ข้าวกล้องมีโปรตีนมากกว่าข้าวขาว 20-30%
โรคผิวหนังบางชนิด ขาดวิตามินบีบางตัว
อ่อนเพลีย รู้สึกเหนื่อยกว่าปกติ ปวดเมื่อยตามตัวและขา เพราะขาดวิตามินบีรวม
โรคชัก เนื่องจากขาดวิตามิน บี 6 ซึ่งมีมากในข้าวกล้อง
ข้าวขาวมีแป้ง (คาร์โบไฮเดรต) พอๆ กับข้าวกล้อง แต่มีเกลือแร่และวิตามินต่างๆ น้อยกว่าข้าวกล้อง (ในข้าวกล้องจะมีวิตามินรวมกัน 20 กว่าชนิด) ที่ทำให้ส่วนต่างๆ ของร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและเสริมสร้างร่างกายให้สมบูรณ์

จะเห็นได้ว่า ผลเสียของการกินข้าวขาวมีมาก เพราะการขัดสีส่วนที่มีคุณค่าต่อร่างกายออกไป หลายท่านอาจจะกินข้าวขาว เพราะไม่รู้ว่ายังมีข้าวที่มีคุณค่ามากอย่างข้าวกล้องอยู่ จนบางคนไม่เคยรู้จักข้าวกล้องด้วยซ้ำ

คนสมัยโบราณแต่ละบ้านจะตำข้าวกินเอง ซึ่งเรียกว่า ข้าวซ้อมมือ ซึ่งก็คือ ข้าวกล้อง คนสมัยก่อนจึงมีร่างกายแข็งแรง ไม่เป็นโรคอย่างที่คนสมัยนี้เป็นกันเท่าไร เช่น โรคเบาหวาน, หัวใจวาย, มะเร็ง ฯลฯ ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่ก็เพราะการกินไม่เป็น

ยามค่ำคืนทั่วโลก...

BANGKOK , THAILAND

bangkok thailand


Paris France



paris france

Yokohama , Japan

yokohama japan

Beijing ,China

beijing china

Shanghai China

shanghai china

Sydney Australia

sydney australia

Cairo Egypt

cairo egypt

Athens Greece

athens greece

Madrid Spain

madrid spain

Monaco Monaco

monaco monaco

London England

london england

NEWYORK USA

new york u.s.a.

MIAMI USA

miami u.s.a.





Rio De Janeiro Brazil

rio de janeiro brazil




ถ้าของใช้พูดได้ !!!!!‏

กระทะ - เปิดไฟเบา ๆ หน่อย..ร้อนนะโว้ย

โถส้วม - พี่ ๆ เสร็จแร้วราดน้ำด้วยสิพี่..เหลืองเชียว ผักน่ะหัดกินซะมั่ง

ไฟฉาย - วันไหนที่เธอหมดหนทางสว่าง (ไฟดับ) ขอให้เธอคิดถึงฉันเป็นคนแรก

ยกทรง - X ..จะเอาฟองน้ำมายัดทำมัยวะ...ยอมรับความจริงหน่อยดิ

โทรศัพท์ - หนวกหูว่ะ..พูดอยู่ได้ ปากเหม็นด้วย

กล้องถ่ายรูป - หน้าเห่ย ๆ ทำท่าไหนก็ไม่สวยหรอกโว้ยย

นาฬิกา - เวลาไปไม่ทันนัด..โทษว่ากรูเสีย X บ้า!! ให้กรูเป็นแพะรับบาปแทนเมิงอยู่
เรื่อย

โลงศพ - สุดท้ายพวกเมิงก็มานอนกับกรู

เข็มทิศ - หลงสิเมิง!!

แก้ว - จับเบา ๆ หน่อยสิ แตกเมื่อไหร่เมิงเจ็บ

ผ้าเช็ดหน้า - น้ำตาพอไหว น้ำหมากน้ำลาย..ไม่เอานะเว้ยย

กระสอบทราย - ผมไปทำอะไรให้พี่เจ็บแค้นนักหนาเนี่ย

กีต้าร์ - เล่นไม่ดีมาโทษกรูว่าสายเพี้ยน

ลูกฟุตบอล - เล่นกันจนกูเวียนหัวแร้วโว้ย...โยนกันไปกันมาอยู่ได้ อยากได้กรูชั่วครั้งชั่วคราวทั้งนั้น เชยชมสมเท้าแร้วก็เตะกรูส่ง..เวร

มีด - หั่นหมู..หั่นผัก ง่ายดาย แต่หั่นเธอออกจากใจ..ยากจัง

ผ้าเช็ดหน้า 2 - เข้าใจแร้วครับว่า..หมาตายในปากเป็นไง

พัดลม - เมิงเย็น..กรูร้อน

แอร์ - บิลค่าไฟมา โทษกรูทั้งปี

น้ำแข็ง - แค่เธอเอามือมาจับตัวฉัน ฉันก็แทบจะละลายคามือเธอแร้ว ละลายในปาก..แระละลายในมือ

รองเท้า - เดินดูทางหน่อยสิวะ..เหยียบขี้หมาจนได้ ซวยเลยกรู..เต็มตีนเมิง แต่เต็มหน้ากรู!!

กระจก - อีนี่บ้าหรือเปล่า มาถามอยู่ได้..ว่าใครงามเลิศในปฐพี

CD - แผ่นก๊อป..เราเป็นได้แค่ตัวแทนของใครบางคน ไม่ใช่ตัวจริง..แต่ราคาถูกกว่า

หนังสือโป๊ - ช่วยเช็ดน้ำลายออกจากตัวผมด้วยครับ

ลูกอม - เทคนิคการใช้ลิ้นของเขา..เล่นเอาฉันละลายไปเลย

เข็มฉีดยา - ไม่ต้องกลัวนะที่รัก มันเจ็บเหมือนมดกันเอง

เข็มฉีดยา 2 - อ้ายเด็กเวงนี่..ร้องอยู่ได้จะกลัวทำมายแค่เข็ม แม่เมิงตีเจ็บกว่ากรูอีก

ปฏิทิน - เรามีเวลาอยู่ด้วยกัน แค่ปีเดียวเองนะครับ..ฉีกกรู กรูต่อย!!

หวี - ลุง..มีแค่นี้เอามือลูบก็ได้

เก้าอี้ - โอ้ว..ก้นช้างหรือคนวะเนี่ย

รีโมท - เราอยู่ในภาวะที่โดนกดดันอย่างหนัก ลูกไก่ในกำมือชัด ๆ ทะเลาะกันทีไร..เขวี้ยงกรูทิ้งทุกที

ถุงยาง - ช่วงเวลาแห่งความสุข..มันช่างน้อยซะจิง ๆ ผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

Saturday, October 10, 2009

การทดลอง การอ่าน สะกดคำ ทางความคิด

ณุอาน่ได้มยั้
ถ้าคณุอาน่บทคาวมนี้ได้
คณุมีความคดิที่แขง็แรงพอสวคมรเลยนะ
คณุอาน่ได้หรอืเลป่าล่ะ
มีแค่ 55 คนจาก 100 เท่านนั้แล่หะที่อาน่ได้




ฉนัไม่อายกจะเชอื่เลยว่า
ฉนัเข้าใจสงิ่ที่ฉนักำลงัอาน่อู่ยนี้
มนัเปน็ปฎกราากรณ์ของคาวมคดิของม์ษุยน
ผลการศกึาษวจิยัจาก มวหายิทัาลย แบมคิร์จด ก่าลวว่า

มนัไม่สคำญเลยว่าตวัอรัษกเยีรงถตอ้กูงหรอืไม่ในคำคำหนงึ่
มนัสคำญแค่ว่า ตวัอษักรแรกและตวัอษกัรตวัสดุทาย้ของคำ
นนั้อู่ยในตนำแห่งที่ถกูตอ้ง ที่เลืหอนนั้มนัจะมวั่ซวั่อ่ายงไร
คณุก็อาน่มนัได้อู่ยดี ไม่มีปหญัา


ที่เปน็อาย่งนี้เราพะคาวมคดิของมษุน์ยนนั้
ไม่ได้อาน่ตวัอษกัรทกุตวัซกัหอน่ย
แต่อาน่เปน็คำเตม็ ๆ คำ
สดุยอดเลยใช่มยั้ล่ะ...ใช่เลย
แต่ยงัไงฉนัก็คดิว่าการสกะดมนัสคำญันะ
ถ้าคณุอาน่บควาบมนี้ได้ ชว่ยสง่ตอ่หอน่ยนะ

Friday, October 9, 2009

โรคต่อมลูกหมาก

ต่อมลูกหมาก

โรคของผู้ชายสูงอายุ ซึ่งจะเป็นกันมากก็คือ โรคเกี่ยวกับต่อมลูกหมาก โรคที่เป็นมีตั้งแต่เบาๆ ขนาดต่อมลูกหมากโต ต่อมลูกหมากอักเสบ ไปจนกระทั่งถึงหนักที่สุดคือ มะเร็งต่อมลูกหมาก
ผู้ชายอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไปมีโอกาสเป็นต่อมลูกหมากอักเสบได้ และถ้าอายุ 50 ปีขึ้นไปก็มักจะเป็นต่อมลูกหมากโต และทั้งสองอย่าง มีโอกาส เป็นมะเร็งต่อมลูกหมากได้ทั้งสิ้น
อาการขนาดเบาๆคือ ปัสสาวะกะปริบกะปรอย คุณผู้ชายบางคนที่เคยภาคภูมิใจในความเป็นลูกผู้ชาย หรือความเป็นชายฉกรรจ์ของตน อาจจะรู้สึกเหมือนเทวดาตกสวรรค์ ลงมานั่งจุ้มปุ๊กอยู่ข้างถังขยะโดยไม่รู้ตัว เมื่ออยู่ๆก็พบว่ามีปัญหาเรื่องการขับถ่ายปัสสาวะ คือปัสสาวะได้ไม่สุด ทั้งๆที่เมื่อก่อนเคยเข้าห้องน้ำแล้วรู้สึกเบาเนื้อเบาตัว น้ำปัสสาวะออกโล่งโถงเบาในกระเพาะปัสสาวะ แต่คราวนี้กลับออกได้ไม่หมด มิหนำซ้ำ ปัสสาวะยังไหลกระท่อนกระแท่น เหมือนมีถุงทรายใบเล็กๆห้อยอยู่ในกระเพาะปัสสาวะข้างล่าง พอเดินออกมานอกห้องน้ำ ก้มลงมองดูข้างล่าง ก็ใจหายวาบ เพราะกางเกงเปียกเป็นหย่อมๆ ขายหน้าสาวๆอีกต่างหาก ตอนนี้ความเป็ขชายฉกรรจ์ชักจะหดหายไปหมด
ต่อมา อาการกะปริบกะปรอยก็เริ่มจะมีมากขึ้น จนเกิดความรักโถส้วมมากขึ้น ปัสสาวะทีก็ต้องยืนกระบิดกระบวนอยู่หน้าโถส้วมเป็นนานสองนาน พอต่อๆไป อาการก็เริ่มจะแปรปรวน ตอนกลางคืน ต้องเข้าห้องน้ำ 3-4 ครั้ง บางคนมากกว่านั้น เข้าเกือบทุกชั่วโมงเลยก็มี
อาการอีกอย่างก็คือ เวลาปัสสาวะ บางคนจะรู้สึกแสบๆ ปัสสาวะสีแก่จัดและขุ่นข้น ที่ร้ายไปกว่านั้น ( หรืออาจจะร้ายที่สุด สำหรับผู้ที่รู้สึกว่า เป็นชายฉกรรจ์ ) คุณผู้ชายบางคน เตะปีบไม่ดังเอาดื้อๆ อาการซึ่งเริ่มจะไม่ดีจนถึงขั้นเป็นมะเร็งได้ก็คือ เริ่มมีไข้และรู้สึกหนาวเป็นบางครั้ง มีอาการปวดบริเวณสามเหลี่ยมระหว่างใต้ลูกอัณฑะกับทวารหนัก ปวดหลังปวดเอว บางครั้งฉี่ไม่ออกเลย หรือไม่ก็จะมีเลือดออกปนมากับน้ำปัสสาวะด้วย
ทั้งหมดนี้เป็นอาการรวมๆ ตั้งแต่น้อยไปหามาก และถึงแม้ว่าอาการต่อมลูกหมากโตจะไม่เกี่ยวกับการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก แต่อาการจากน้อยไปหามากก็จะมีเหมือนๆกัน แม้ว่าอาการเจ็บป่วยของต่อมลูกหมากจะเป็นเพียงอาการเบาๆ แต่ก็เป็นการทรมาณทางกายมากพอดู ความทรมาณที่สาหัสสากรรจ์ที่สุดอีกอย่างหนึ่งซึ่งไม่มีใครมองเห็นแม้แต่ แพทย์ผู้รักษา ก็คือความทรมาณทางจิตใจของคุณผู้ชายซึ่งเป็นเทวดาตกสวรรค์นั่นเอง ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับต่อมลูกหมาก มักจะมีปัญหาเกี่ยวกับต่อมฮอร์โมนด้วย คือการผลิตฮอร์โมนของร่างกายจะผิดปกติ บางตัวขาด บางตัวเกิน และมีผลทำให้เกิดอาการหงุดหงิดหรือซึมเศร้าได้ และยิ่งถ้าอาการร้ายแรงถึงขั้นเป็นมะเร็งด้วยแล้ว ก็ยิ่งจะมีความเครียด และความ ซึมเศร้ามากขึ้น จนถึงขั้นอยากตายเลยก็ได้
ฉะนั้น จะถือได้ว่าปัญหาซ่อนเร้นที่สำคัญนั้นก็คือ ปัญหาด้านจิตใจที่ผู้ป่วยจะรู้สึกคับแค้นใจและทุกข์ทรมาณ มากกว่าการเจ็บป่วยทางกายหลายเท่านัก
สำหรับการรักษาทางการแพทย์ในปัจจุบัน จะต้องอาศัยการผ่าตัดเป็นส่วนใหญ่ โดยมีเทคนิคและเครื่องมือใหม่ๆมาใช้อย่างมากมาย ซึ่งในที่นี้ เราจะไม่ขอกล่าวถึงวิธีการรักษาของโรงพยาบาลหรือตามคลินิก แต่จะขอกล่าวถึงการรักษาด้วยวิธีผสมผสานและด้วยวิธีธรรมชาติ ซึ่งเป็นวิธีที่จะช่วยป้องกันมิให้เป็นโรคที่แสนทรมาณโรคนี้ แผนการป้องกันที่ดีที่สุด ซึ่งพิสูจน์มาแล้วทั้งในแผนปัจจุบันและแผนผสมผสาน ก็คือ การใช้อาหาร อาหารที่ดีที่สุดสำหรับต่อมลูกหมาก ได้แก่ อาหารที่มีธาตุสังกะสี ( Zinc ) ซึ่งอาหารที่มีธาตุสังกะสีมากที่สุดก็คือ ฟักทองและเมล็ดฟักทอง นอกจากนั้นธาตุสังกะสียังมีอยู่ในอาหารอย่างอื่นอีก เช่นจมูกข้าว ( ได้ทั้งจากข้าวสาลี ข้าวสาร และข้าวอื่นๆ ) และมัสตาร์ดผง
ในขณะเดียวกันก็ควรรับประทานอาหารที่มีวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ซึ่งจะไปช่วยส่งเสริมการทำงานของธาตุสังกะสี ในทางกลับกัน ธาตุสังกะสีจะช่วยสนับสนุนวิตามินและแร่ธาตุต่างๆนั้นด้วย เรียกว่าร่วมมือร่วมใจกันทำงาน ให้ประโยชน์แกร่างกายอย่างเต็มที่
วิตามินและแร่ธาตุต่างๆนั้นได้แก่
วิตามิน A อาหารซึ่งมีวิตามินเอ ได้แก่ ตับปลา แครอต ผักผลไม้ที่มีสีเหลือง เช่น ฟักทอง มะละกอสุก เป็นต้น
วิตามิน B คอมเพล็กซ์ มีอยู่ในอาหารพวกถั่ว รำข้าว ข้าวโอ้ต ผักสีเขียวต่างๆ ยีสต์แห้ง ปลา ไข่ แคนตาลูป กะหล่ำปลี โมลาส
วิตามิน C มีอยู่ในผลไม้และผักรสเปรี้ยว ผักใบเขียว ดอกกะหล่ำ มันฝรั่ง มันเทศ
วิตามิน E มีอยู่ในจมูกข้าว ถั่วเหลือง น้ำมันพืช บร็อคเคอรี่ ผักโขม ข้าวสาลี ข้าวซ้อมมือ ไข่
วิตามิน F และเลคซิทิน ( ไขมันจำเป็น Essential Fatty Acids ) มีอยู่ในเมล็ดฟักทอง เมล็ดทานตะวัน และงา
แมกนีเซียม มีอยู่ในลูกมะเดื่อ มะนาว ส้มโอ ข้าวโพดเหลือง ถั่วอัลมอนด์ ถั่วต่างๆ ผักใบเขียวจัด แอ็ปเปิ้ล
เกสรผึ้ง ( Bee Pollen ) ในเกสรผึ้งมีแร่ธาตุและฮอร์โมนหลายชนิด ได้มีการทดลองในทางการแพทย์หลายครั้ง พบว่าแร่ธาตุและฮอร์โมน ในเกสรผึ้งมีประโยชน์ต่อต่อมลูกหมากโดยตรง
เหล่านี้คืออาหารซึ่งจะช่วยให้ต่อมลูกหมากดีขึ้นและช่วยป้องกันการ อักเสบของต่อมลูกหมากได้ แต่ในกรณีที่เกิดการอักเสบขึ้นแล้ว ทั้งอาหารและอาหารเสริมก็ยังช่วยได้ และช่วยได้ดีขึ้นถ้าจะเพิ่มปริมาณ ( Dose ) ของวิตามิน-แร่ธาตุให้มากขึ้น โดยใช้วิตามิน-แร่ธาตุเหล่านี้ ในลักษณะของเม็ดยาซึ่งสกัดมาแล้ว คือเพิ่มขึ้นตามปริมาณต่อไปนี้

วิตามินเอ 10,000-25,000 I.U. ต่อวัน
วิตามินบี1 , 6 , 12 อย่างละ 50 มก. ต่อวัน
เกสรผึ้ง 3-9 เม็ด ต่อวัน
วิตามินซี 3,000-5,000 มก. ต่อวัน
วิตามินอี 800 I.U. ต่อวัน
แมกนีเซียม 500 มก. ต่อวัน
Zinc 200 มก. ต่อวัน

และควรจะงดเหล้า - บุหรี่ พร้องทั้งลองเปลี่ยนจากการนั่งเก้าอี้เบาะ มาเป็นนั่งเก้าอี้แข็ง ถ้าจะให้ดี ควรเสริมท่าบริหารด้วยการ นอนหงาย งอเข่า เท้าทั้งสองชิดกัน แล้วแยกเข่าออกสองข้างช้าๆ ยกกลับคืนท่าเดิม ทำอย่างนี้เช้า-เย็น อย่างน้อยได้สัก 20 ครั้งจะดีมาก

คุณผู้ชายทั้งหลาย อ่านแล้วก็ลงมือปฏิบัติได้เลยนะครับ จะไดห่างไกลไร้กังวลจากโรคที่เกี่ยวกับต่อมลูกหมาก

zinc สังกะสี ป้องกันโรคต่อมลูกหมาก

แร่ธาตุ สังกะสี

สังกะสีคืออะไร
ปกติ ทั่วไปร่างกายมนุษย์ต้องการสารอาหารหลัก 5 หมู่ คือ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตามินและเกลือแร่ ในสัดส่วนที่เหมาะสมเพื่อให้การทำงานของร่างกายเป็นปกติ โดยเกลือแร่หรือแร่ธาตุนั้นเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายรองจาก น้ำ ไขมัน และโปรตีน ซึ่งแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับองค์ประกอบที่ดีของชีวิตสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ประเภทแรกคือ แร่ธาตุปริมาณมาก (Macro Minerals) ใช้เรียกแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการมากกว่า 100 มิลลิกรัมต่อวัน เช่นแคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แมกนีเซียม เป็นต้น โดยจะพบแคลเซียมในร่างกายมากที่สุด รองลงมาเป็นฟอสฟอรัส ส่วนแร่ธาตุประเภทที่สอง คือ แร่ธาตุปริมาณน้อย (Trace Minerals) โดยแร่ธาตุกลุ่มนี้ร่างกายต้องการเพียงเล็กน้อย แต่ไม่สามารถขาดได้เลย เพราะมีความสำคัญต่อการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย กล่าวคือ ถ้าขาดสารอาหารพวกนี้ไป ร่างกายก็จะผิดปกติไป ทั้งๆ ที่ปริมาณที่จำเป็นต่อสุขภาพต่อวันมีจำนวนเล็กน้อยเท่านั้นเอง

สังกะสี จัดเป็นแร่ธาตุในกลุ่มแร่ธาตุปริมาณน้อย (Trace Minerals) มีชื่ออีกอย่างว่า ซิงค์ (Zinc) สัญลักษณ์ทางเคมี คือ Zn ประมาณร้อยละ 90 ของสังกะสี ในร่างกายอยู่ที่กระดูกและกล้ามเนื้อ อีกร้อยละ 10 อยู่ที่ ตับอ่อน ตับ เลือด โดยส่วนที่อยู่ในเม็ดเลือดนั้น ร้อยละ 80 อยู่ในเม็ดเลือดแดง และร้อยละ 20 อยู่ในน้ำเลือด ส่วนใหญ่ของ สังกะสี ที่รับประทานเข้าไปจะถูกขับถ่ายออกทางอุจจาระ ซึ่งเป็นผลรวมของ สังกะสี ที่บริโภคเข้าไปแล้วไม่ถูกดูดซึมจากน้ำย่อยของลำไส้เล็ก นอกจากนี้ร่างกายยังขับถ่าย สังกะสี ออกทางปัสสาวะโดยจับกับ กรดอะมิโน ได้อีกด้วย ซึ่งในคนปกติจะขับถ่าย สังกะสี ออกประมาณวันละ 300 – 600 ไมโครกรัม

ประโยชน์ของสังกะสี
สังกะสี มีลักษณะเหมือนกับแร่ธาตุและ วิตามิน อื่นๆ คือ เป็นสารอาหารทีไม่ให้พลังงาน แต่ทำหน้าที่เป็นเพียงตัวกำกับการทำงานของร่างกาย มีบทบาทสำคัญในการสังเคราะห์กรดนิวคลิอิก และโปรตีนเอนไซม์ในร่างกายมากกว่า 100 ชนิด อาจกล่าวได้ว่าเอนไซม์ที่เป็นสารสำคัญในการเกิดปฏิกิริยาภายในร่างกายเกือบ ทุกชนิดต้องการ สังกะสี เป็นส่วนประกอบจึงจะทำหน้าที่ได้ดี ดังนั้น สังกะสี จึงมีความสำคัญต่อการทำงานของทุกอวัยวะในร่างกายเรา โดยอาจสรุปขบวนการที่ สังกะสี มีส่วนร่วมในการทำงานในร่างกายมนุษย์ได้ดังต่อไปนี้

1. สังกะสี เป็นส่วนหนึ่งของเอ็นไซม์แอลกอฮอล์ดีไฮโดรจีเนส (Alcohol Dehydrogenase) ซึ่งเอ็นไซม์นี้มีหน้าที่ในการกำจัดแอลกอฮอล์ ซึ่งถือเป็นสารพิษในตับ (Liver)

2. สังกะสี ร่วมทำงานกับ เอ็นไซม์ แลคเตตและมาเลตดีไฮโดรจีเนส (Latate and Malate Dehydrogenase) ซึ่งเป็นเอ็นไซม์ที่ร่างกายใช้ในขบวนการสร้างกำลังงาน

3. สังกะสี มีส่วนร่วมทำงานกับเอ็นไซม์ อัลคาไลน์ ฟอสฟาเตส (Alkaline Phosphatase) ซึ่งจำเป็นในขบวนการสร้างกระดูกและฟัน

4. สังกะสี เป็นส่วนหนึ่งของเอ็นไซม์ซูเปอร์อ๊อกไซด์ ดิสมิวเทส (Superoxide Dismutase; SOD) ซึ่งเป็นสารต้านปฏิกิริยาอ๊อกซิเดชั่น (Potent Anti-oxidants) ที่มีอยู่ในร่างกาย

5. สังกะสี เป็นส่วนหนึ่งของเอ็นไซม์ คาร์บอร์นิคแอนไฮเดรส (Carbonic Anhydrase) ซึ่งพบว่าเอ็นไซม์นี้มีส่วนเกี่ยวข้องในการทำงานอย่างสมดุลของระบบประสาท สมอง

6. สังกะสี จำเป็นสำหรับการสังเคราะห์โปรตีนและสร้าง คอลลาเจน มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการเจริญเติบโตของเด็ก

7. สังกะสี ช่วยให้เซลล์สามารถจับกับวิตามิน เอ (Vitamin A) ไว้ได้ดีขึ้น และช่วยให้เซลล์สามารถนำเอาวิตามินเอไปใช้ประโยชน์ได้ดีขึ้นด้วย ซึ่งช่วยทำให้เซลล์ผิวพรรณที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ๆ มีสุขภาพดี และพบว่ายังเกี่ยวข้องกับการรักษาสมดุลของปริมาณไขมันในผิวหนัง และควบคุมปัญหาการเกิดสิวจากการอุดตันของไขมันได้ด้วย

8. สังกะสี มีส่วนสำคัญในขบวนการสร้างกรดนิวคลีอิค (Nucleic acid) ทั้งดีเอ็นเอ (DNA) และอาร์เอ็นเอ (RNA) ซึ่งพบว่าในระยะที่ร่างกายต้องการสร้างเซลล์ใหม่ๆ ไม่ว่าหลังผ่าตัด, เป็นแผลต่างๆ ยิ่งจำเป็นต้องมีขบวนการนี้มากขึ้นเสมอ

9. สังกะสี ยังช่วยในการปรับปรุงการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยเฉพาะควบคุมการทำงานของเม็ดเลือดขาวชนิด ทีลิมโฟไซต์ (T-lymphocyte) ให้ทำงานป้องกันเชื้อโรคแปลกปลอมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

10. สังกะสี มีความสำคัญต่อการควบคุมการทำงานของฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin) และควบคุมการทำงานของอวัยวะรับสัมผัส (Taste Sensation) ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

11. สังกะสี จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตและการเจริญของระบบสืบพันธุ์ และช่วยให้ต่อมลูกหมากทำหน้าที่ได้ถูกต้อง ป้องกันการเป็นหมัน

ปริมาณความต้องการสังกะสี
จาก คุณสมบัติของ สังกะสี ข้างต้น แสดงให้เห็นว่าในกระบวนการทำงานเกือบทุกระบบในร่างกายล้วนแต่ต้องการ สังกะสี เป็นส่วนประกอบในการทำงานด้วยกันทั้งนั้น จึงนับได้ว่า สังกะสี เป็นแร่ธาตที่ร่างกายต้องการเป็นประจำไม่สามารถขาดได้เลย โดยปริมาณความต้องการ สังกะสี ของแต่ละคนจะแตกต่างกันตามเพศ วัย และภาวะของร่างกาย ซึ่งประเทศสหรัฐอเมริการได้ทำการวิจัยและกำหนดความต้องการ สังกะสี (Zinc) ปกติของมนุษย์ไว้ตามตารางข้างล่างนี้

ปริมาณ สังกะสี ที่แนะนำให้รับประทานในแต่ละวัน (Daily RDAs For Zinc)

อายุน้อยกว่า 1 ปี ปริมาณที่แนะนำ 3 – 5 มิลลิกรัม/วัน

อายุ 1 –10 ปี ปริมาณที่แนะนำ 10 มิลลิกรัม/วัน

อายุ 11 ปีขึ้นไป ปริมาณที่แนะนำ 15 มิลลิกรัม/วัน

สตรีในระยะตั้งครรภ์ ปริมาณที่แนะนำ 20 – 25 มิลลิกรัม/วัน

สตรีในระยะให้นมบุตร ปริมาณที่แนะนำ 25 – 30 มิลลิกรัม/วัน

แหล่งของสังกะสี
สำหรับ ร่างกายมนุษย์แล้วไม่สามารถสร้างหรือสังเคราะห์ สังกะสี ได้ขึ้นเอง จำเป็นต้องบริโภคอาหารเพื่อให้ได้รับสารดังกล่าว ซึ่งแหล่งอาหารตามธรรมชาติที่มีปริมาณ สังกะสี สูง ได้แก่ เนื้อสัตว์ ตับ อาหารทะเลโดยเฉพาะหอยนางรม เป็นแหล่ง สังกะสี ที่ดี เพราะดูดซึมง่ายกว่าพวกพืชผัก โดยมีการวิจัยพบว่าอาหารจำพวกเนื้อเมื่อถูกย่อยเป็น กรดอะมิโนจะมีส่วนช่วยให้ร่างกายดูดซึม สังกะสี ได้ดีขึ้น โดยธัญพืชประเภท ข้าว ข้าวโพด มี สังกะสี อยู่ปริมาณน้อย ส่วนผัก ผลไม้แทบไม่มีปริมาณ สังกะสี อยู่เลย ซึ่งปริมาณ สังกะสี ในอาหารที่บริโภคประจำวันมีดังนี้

เนื้อสัตว์ อาหารทะเล 1.5 – 4 มิลลิกรัม/100 กรัม
หอยนางรม 75 มิลลิกรัม/100 กรัม
ตับ 4 – 7 มิลลิกรัม/100 กรัม
ไข่แดง 1.5 มิลลิกรัม/100 กรัม
น้ำนมวัว 0.4 มิลลิกรัม/100 กรัม
น้ำนมแม่ 0.1 – 0.4 มิลลิกรัม/100 กรัม
ธัญพืช 0.4 – 1 มิลลิกรัม/100 กรัม
ถั่ว 0.6 - 3 มิลลิกรัม/100 กรัม

โดย ในการบริโภคอาหารประจำวัน เราควรเลือกรับประทานอาหารที่ให้ปริมาณ สังกะสี เพียงพอต่อร่างกายในแต่ละวัน อย่างไรก็ตามในการดำเนินชีวิตประจำวันปกติของเราทุกวันนี้ ยังมีปัจจัยหลายประการที่ทำให้ร่างกายได้รับปริมาณ สังกะสี ไม่เพียงพอได้ตลอดเวลา ปัจจัยดังกล่าว ได้แก่

1. การรับประทานอาหารที่ไม่ถูกต้อง เช่น อาหารที่มีปริมาณ สังกะสี ต่ำ, อาหารที่มีแร่ธาตุทองแดง (Copper) มากเกินไป, พวก ไฟเบอร์, ไฟเตต (Phytates), แอลกอฮอล์ (Alcohol), ฟอสเฟต (Phosphate) เพราะสารเหล่านี้จะไปลดการดูดซึม สังกะสี ผ่านผนังลำไส้ของคนเราได้

2. อายุที่มากขึ้น (Aging) ประสิทธิภาพการดูดซึม สังกะสี ลดลง

3. หญิงในระยะตั้งครรภ์ (Pregnant) ต้องการ สังกะสี มากเป็นพิเศษ

4. การรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดเป็นเวลานาน ทำให้ขาดธาตุ สังกะสี ได้

5. ภาวะโรคต่างๆ ที่ต้องการแร่ธาตุ สังกะสี เป็นพิเศษ เช่น การติดเชื้อเรื้อรัง (Chronic infections) พิษสุราเรื้อรัง (Alcoholism) ผิวหนังอักเสบ (Psoriasis) ตับแข็ง (Cirrhosis)

6. โรคพันธุกรรม ที่ทำให้การดูดซึม สังกะสี ไม่ดี พบในเด็กเล็ก เรียกว่า Acrodermatitis Enteropathica (โรคผิวหนังอักเสบ และผิดปกติทางจิตใจ)

อาการขาดสังกะสี
ซึ่งถ้าร่างกายมีอาการขาดแร่ธาตุ สังกะสี เป็นเวลานาน จะเป็นผลให้เกิดอาการต่างๆ มากมาย ดังนี้

1. การเจริญเติบโตในเด็กล่าช้า ตัวเล็ก แคระแกรน หรือหยุดชะงักเป็นหนุ่มเป็นสาว

2. ผิวหนังมีการอักเสบ โดยระยะแรกจะเป็นรอบปาก และอวัยวะเพศ ต่อมาจะลามไปที่แขนและขา เริ่มแรกอาจเป็นแค่ผื่นแดง ต่อมาจะมีลักษณะเป็นเม็ดพุพอง

3. ระบบทางเดินอาหาร ทำให้มีอาการเบื่ออาหาร การรู้รสลดน้อยลง

4. ระบบประสาท อาจมีอาการซึมเศร้า หงุดหงิด ขาดสมาธิ เหม่อลอย และมีอาการตาบอดแสงได้

5. ระบบต่อมไร้ท่อ คือ ทำให้อวัยวะเพศเด็กเล็ก ไม่โตขึ้นตามวัย

6. มีอาการผมร่วง แตกปลาย เล็บเปราะ ผิวแห้ง

สรุปประโยชน์ของสังกะสี
ใน ขณะที่ถ้าร่างกายได้รับปริมาณ สังกะสี ที่เหมาะสม เพียงพอต่อความต้องการตามแต่ละสถานะของแต่ละคนแล้ว นอกจากไม่ต้องเผชิญกับอาการขาดธาตุ สังกะสี ดังกล่าวแล้ว กลับเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของเราอย่างมากมาย ซึ่งสามารถสรุปประโยชน์จากแร่ธาตุ สังกะสี ได้ดังนี้

1. ช่วยเสริมสร่างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย ช่วยต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บที่จะมาแผ้วพานร่างกายคนเรา จากการศึกษาหลายชิ้นให้ผลว่า ถ้าร่างกายได้รับ สังกะสี ปริมาณเพียงพอแก่ความต้องการแล้ว จะมีผลให้ระบบภูมิคุ้มกันของเราอยู่ในสภาพสมบูรณ์

2. ป้องกัน มะเร็ง พบว่าผู้ป่วย มะเร็งต่อมลูกหมาก จะมีปริมาณ สังกะสี ต่ำกว่าคนปกติ จากการศึกษาแสดงให้เห็นว่า สังกะสี สามารถยับยั้งการเจริญของเซลล์ มะเร็งต่อมลูกหมาก ได้

3. ป้องกันไม่ให้ตาบอดในผู้สูงอายุ การสูญเสียการมองเห็นในผู้สูงอายุที่เรียกว่า macular degeneration นั้นพบว่า เกิดจากการขาดธาตุ สังกะสี

4. ป้องกันและรักษาโรคหวัด พบว่าเมื่อเริ่มเป็นหวัด ถ้ารีบรับประทานธาตุ สังกะสี ทันทีจะ ช่วยให้อาการหวัดรุนแรงน้อยลงและจำนวนวันที่ป่วยก็ลดลงด้วย

5. ช่วยคงสภาพการรับรู้รส กลิ่น และสายตา คนเราเมื่อมีอายุมากขึ้น การรับรู้รอาหารมักจะเปลี่ยนไป บางคนอาจไม่เจริญอาหารและบอกว่า "อาหารไม่อร่อย" นั้น อาจมาจากการรับรู้รสของอาหารเปลี่ยนไปเพราะขาดธาตุ สังกะสี ก็ได้

6. กระตุ้นให้แผลหายเร็วขึ้น คนที่มีบาดแผลต่างๆ หรือเป็นแผลในกระเพาะอาหาร การให้ธาตุ สังกะสี จะทำให้แผลหายเร็วขึ้นกว่าคนที่ไม่ได้รับธาตุ สังกะสี

7. เพิ่มความรู้สึกทางเพศในผู้ชาย การผลิตสเปิร์มของผู้ชายต้องการธาตุ สังกะสี มาก จะเห็นได้ว่า ต่อมลูกหมากเป็นอวัยวะที่มี สังกะสี มาก การสร้างฮอร์โมนเพศชาย ก็ต้องการธาตุ สังกะสี เช่นกัน

8. ช่วยรักษาและป้องกันการเป็นหมันในผู้ชาย สังกะสี มีส่วนสำคัญในการสร้างสเปิร์มและฮอร์โมนเพศชาย การให้ธาตุ สังกะสี วันละ 50 มก. จะทำให้ปริมาณน้ำเชื้อเพิ่มมากขึ้นได้

9. ป้องกันต่อมลูกหมากโต คนสูงอายุมักประสบปัญหาต่อมลูกหมากโต แพทย์จึงให้ สังกะสี ในการรักษาซึ่งก็ได้ผลดี

10. รักษาสิว คนหนุ่มสาวมีปัญหาเรื่องสิว ฝ้า เวลาสิวอักเสบจะไม่น่าดู มีการให้ธาตุ สังกะสี แก่คนที่ขาดธาตุสังกะสีและเป็นสิว ปรากฏว่าได้ผลดี สิวจะหายไป

11. ป้องกันผมร่วง สังกะสี จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการแบ่งเซลล์ของร่างกายของเส้นผม บางรายผมหลุดร่วงไปและกิน สังกะสี ก็จะช่วยให้เส้นผมใหม่งอกขึ้นได้เร็วขึ้น แต่ในรายหัวล้านตามอายุนั้นใช้ไม่ได้ผลเพราะไม่มีรากผม

12. เป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ป่วยเบาหวานมักเป็นแผลและติดเชื้อง่าย สังกะสี จะช่วยให้ แผลที่เป็นนั้นหายเร็วขึ้นและช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานต่อโรคด้วย

13. ลดอาการอักเสบและช่วยรักษาโรครูมาตอยด์อาไทรลิส พบว่าคนเป็นโรคนี้จะมีปริมาณ สังกะสี ในเลือดน้อยกว่าคนทั่วไป จากการทดลองให้ธาตุ สังกะสี ไปพบว่า อาการดีขึ้นมากในเรื่องข้อต่อต่างๆ ที่บวม, ข้อแข็งหรือยึดติด

จะเห็นได้ว่าประโยชน์ของธาตุ สังกะสี มีมากมายต่อร่างกายคนเรา แต่อย่างไรก็ตามในการบริโภค สังกะสี ควรกระทำในขนาดพอดี เหมาะสมแก่วัยและสภาวะ โดยถ้าร่างกายคนเราได้รับปริมาณ สังกะสี ที่มากเกินพอดี จะก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพได้ ซึ่งโทษของการได้รับ สังกะสี มากเกินไปจะก่อให้เกิดอาการต่างๆ ดังนี้

1. ภูมิคุ้มกันร่างกายเสื่อม และ สังกะสี ยังขัดขวางไม่ให้ร่างกายใช้ธาตุทองแดงได้เต็มที่เป็นผลให้ระดับทองแดงใน เลือดต่ำ ทำให้เกิดอาการซีด เม็ดเลือดขาวต่ำ

2. โดยถ้าร่างกายได้รับ สังกะสี เกินกว่า 2 กรัมขึ้นไป จะเกิดอาการระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหารแบบเฉียบพลัน ทำให้ปวดท้อง และอาเจียนได้

3. ในกรณีที่บริโภคมากกว่าวันละ 100 มก. เป็นเวลานานจะทำให้ระดับไขมัน HDL (High-density lipoprotein) ซึ่งเป็นไขมันชั้นดีลดลง

โดย สรุปแล้วถึงแม้ว่า สังกะสี จะเป็นแร่ธาตุกลุ่มที่ร่างกายต้องการเพียงเล็กน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับแร่ ธาตุอื่น แต่ความสำคัญต่อร่างกายมิได้มีเพียงเล็กน้อยแต่อย่างใด กลับเป็นแร่ธาตุที่สำคัญยิ่งต่อกระบวนการทำงานทุกๆ ระบบของร่างกาย โดยแหล่งอาหารธรรมชาติที่มีปริมาณ สังกะสี สูง คือ อาหารจำพวกเนื้อสัตว์ และอาหารทะเล เมื่อใดก็ตามที่ร่างกายได้รับ สังกะสี ไม่เพียงพอก็จะก่อให้เกิดอาการเจ็บป่วยหรือโรคต่างๆ ได้มากมาย ในขณะเดียวกันถ้าร่างกายได้รับ สังกะสี เป็นปริมาณที่เกินพอดีก็จะก่อโทษให้กับร่างกายได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นควรเลือกเดินทางสายกลาง บริโภคอาหารที่ให้แร่ธาตุ สังกะสี ในปริมาณที่พอเพียงเหมาะสมต่อร่างกาย นอกจากจะไม่ต้องเผชิญกับโรคที่เกี่ยวกับการขาดธาตุสังกะสีแล้ว ยังมีประโยชน์ช่วยป้องกันโรคอื่นๆ ได้อีกด้วย

สองเรื่องที่แตกต่าง

กระทู้แนะนำจากเวปพันทิบห้องลุมพินีคับ อยากเอามาให้อ่านกันบ้าง


ผมเป็นหมออยู่ รพ.ชุมชนแห่งหนึ่งครับ

มีเรื่องมาแชร์ประสบการณ์มาเล่าให้ฟังครับ
เกิดสดๆร้อน เมื่อวานนี้เอง ณ เวลา 13.00 น.

หลังจากเพิ่งพักเที่ยงได้สักครึ่งชม.
“หมอคะ มีคนไข้ท้องประมาณ 3 เดือน หลังลื่นล้ม มีเลือดออกทางช่องคลอดค่ะ”
พยาบาลสาวมารายงานเคสถึงห้องพักแพทย์

“ครับๆ เดี๋ยวผมตามไป พาคนไข้ไปห้องตรวจภายในเลย” ในใจผมก็ทะแม่งๆแล้ว
มุขลื่นล้มแล้วเลือดออก แต่จริงๆไปทำแท้งเนี่ย
เจอบ่อย แต่ยังไม่อยากปรักปรำ เพราะเห็นว่าเคยมาฝากท้องแล้ว เดี๋ยวลองซักประวัติดีๆดีกว่า

คนไข้รายนี้เป็นหญิงอายุ 23 ปี เคยแท้งมาแล้ว 2 ครั้ง
ยังไม่มีลูก มาฝากท้องที่รพ.แล้ว 2 ครั้ง

อายุครรภ์นับจากประจำเดือนครั้งสุดท้ายประมาณ 3 เดือน ครั้งนี้ แม่พามาโรงพยาบาล

“คุณ..ไปทำแท้งมารึเปล่าครับ” ผมถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“ ปะ ป่าวนะค้า” ตอบเสียงสูงเชียว มีพิรุธสุดฤทธิ์
"งั้นผมขอตรวจภายในก่อนครับ ดูว่าแท้งรึยัง"

เริ่มจากใส่เครื่องมือดูปากมดลูก เลือดไหลพลั่กๆเชียว ปากมดลูกเริ่มเปิดแล้ว จากนั้นตรวจโดยใช้นิ้ว

เอ๊ เม็ดอะไรแข็งๆใต้ปากมดลูกหว่า คีบออกมาดู ปรากฏว่าเป็นยาเม็ดสำหรับทำแท้ง เลยดึงออกมาให้คนไข้ดู

“มีอะไรจะแก้ตัวมั้ย “ ผมถามเสียงเข้ม
“หมออย่าบอกแม่หนูนะ แม่หนูคิดว่าลื่นล้ม” เธอบอก
แกมอ้อนวอน

หลังจากเปิดปากยอมรับว่าไปทำแท้ง โดยไปที่คลินิกของหมอสูติคนหนึ่งในตัวเมือง
ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าหมอคนนี้แอบรับทำแท้งอยู่ เธอกินยามา 2 วันแล้ว
เมื่อเช้าหมอเหน็บยาให้อีก 1 เม็ด แล้วบอกว่าถ้าตกเลือดให้มาขูดมดลูก รพ.ใกล้บ้าน เฮ่อ..ดูมันแนะนำ เลวจริงๆ มีการผลักภาระให้คนอื่นอีก

“คุณหมดเงินไปเท่าไหร่”
“หมื่นกว่าบาทค่ะ”

“คุณรู้รึปล่าวว่า จริงๆยาสอดเนี่ย เม็ดหนึ่งไม่ถึง 10 บาท" ในใจก็รู้สึกว่าสมควรแล้ว
เธอถึงกับอึ้ง ว่าหมอคนนั้นโก่งราคาซะสูงลิ่ว เฮ่อ เลวจริงๆ (อีกรอบ)

อย่าว่าผมโหดเลยนะครับ มันหงุดหงิดน่ะ
ผมเป็นคนรักเด็กครับ จะsense มากกับคนไข้ที่ทำแท้งมา

จริงๆสภาพจิตใจคนไข้ก็บอบช้ำมาเพียงพอแล้ว โดนหมอด่าซ้ำอีก แต่มันก็เป็นจิตวิทยาอย่างนึง
ทำให้คนไข้รู้สึกผิด และไม่กล้าทำอีก

เทียบกับหมอคนอื่น ผม soft แล้วนะ
หมอบางคนด่าซะเสียผู้เสียคนเลยกับคนไข้ทำแท้งเนี่ย แต่ด่าไปบางคนมันก็ไม่จำหรอกครับ

“อืม เด็กยังอยู่ข้างในนะ แต่ปากมดลูกเปิดแล้ว
ต้องขูดมดลูก เพราะเดี๋ยวจะตกเลือดมาก” ผมบอกหลังจากตรวจภายในเสร็จ ประเมินจากขนาดมดลูกน่าจะประมาณ 14 สัปดาห์แล้ว

ในใจก็นึก เฮ้อ มันเริ่มเป็นตัวแล้วนี่หว่า
หลังจากซักประวัติการกินข้าวกินน้ำครั้งสุดท้าย
เพราะต้องฉีดยาสลบ และบอกแม่ผู้ป่วยว่าต้องขูดมดลูกแล้ว
โอเคให้เริ่มขูดมดลูกได้เลย

จากนั้นก็ลงมือเลยครับ ขูดได้ซักพัก
เฮ้ยอะไรเนี่ย โอ้ พระเจ้า ขาเด็กนี่หว่า
เลยต้องใช้เครื่องมือหนีบออกมาแทน

แต่ก็อะนะ เด็กตัวจะเปื่อยๆ มันก็ไม่ออกมาทีเดียวดิครับ จะออกมาเป็นส่วนๆ ขาดครึ่งตัวบ้าง
แขนบ้าง ขาบ้าง หัวบ้าง
ในใจสั่นระรัวว่า กรูทำอะไรอยู่ฟะเนี่ย
นี่ต้องมากลายเป็นส่วนหนึ่งในการทำลายเด็กหรือนี่

แทบไม่มองเลยครับ น้ำตาเกือบจะคลอเบ้าแต่ก็อายพยาบาล T_T
คิดดูสิครับว่าคนที่จิตใจบอบบางอย่างผม ต้องเห็นเด็กหลุดมาเป็นท่อนๆจะรู้สึกยังไง (T_T“)
สงสารเด็กจับใจครับ
หลังจากนั้นพยาบาลบอกผมว่าเห็นคนไข้บอกว่าสาเหตุมี่ไปทำแท้ง เพราะแค่ทะเลาะกับสามีเลยประชด

โดยที่สามีไม่รู้เรื่องเลย แค่เนี้ยย.. เวรกรรม เฮ่อ กรรมของเด็กจริงๆ
จริงๆผมก็ขูดมดลูกเคสคนไข้แท้งมาก็มากมาย
แต่ส่วนใหญ่จะแท้งตั้งแต่ยังไม่เป็นตัวครับ

ที่เห็นว่าเป็นตัวเด็กก็เป็นเคสที่ 2 แล้ว แต่ยังทำใจไม่ได้T_T
เมื่อคืนหลังจากกลับมานอนด้วยความอ่อนเพลียจากงานกลางวัน

ตอนตี 2 มีพยาบาลโทรมารายงานเคส หลังจากเสร็จแล้ว ไม่รู้อารมณ์ไหน คิดเรื่องที่ทำแท้ง ตาค้างเลยครับ

กว่าจะข่มตาหลับได้ T_T ผมกะไว้ว่า จะหาโอกาสไปทำบุญกรวดน้ำให้เด็กครับ

ผมขอเถอะครับ คนที่คิดจะทำแท้ง อย่าเลยนะครับ
มันผิดกฎหมาย และบาปด้วย บาปนั้นมันจะติดคุณไป

ตลอดชีวิต บางคนก็เสียชีวิตจากการติดเชื้อหรือตกเลือดได้ มันไม่คุ้มกันเลย เด็กไม่ได้รู้เรื่องราวอะไรเลย สงสารเถอะครับ

จากคุณ : หมอบ้านนอก - [ 24 มิ.ย. 49 14:13:13 A:124.157.245.127 X: TicketID:120022 ]


ลิงค์อยู่นี่ http://www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L4480437/L4480437.html

บางคคห.ก็เขียนดีนะ



ความคิดเห็นที่ 65

เห็นใจคุณหมอค่ะ หมอเล่ามาเห็นภาพหมดเลย ทำไมมันเศร้าอย่างนี้ ลำบากใจสุดๆนะนั่น เฮ้อ สู่สุขตินะหนู ถ้าเป็นไปได้ อยากให้หนูได้เกิดมาลืมตาดูโลกอีกครั้งกับคนที่ดี และต้องการหนูจริงๆ

น่าแปลกวันนี้เรารับรู้เรื่องเศร้า 2 เรื่องแต่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว

เรื่องแรก ตามที่คุณหมอเล่ามา และอีกเรืองคือ จากเหตุการณ์ รถนักเรียนประสบอุบัติเหตุ มีเด็กผู้ชาย ม.1 เสียชีวิตเพิ่มอีกคน มันเศร้าตรงคำพูดของพ่อเค้า ตอนเข้าไปลูบตัวลูกแล้วบอกว่า

ถ้าเป็นไปได้ ชาติหน้าขอให้เกิดเป็นพ่อลูกกันอีก ชาตินี้เรามากันได้แค่นี้ ขอให้ไปให้สบาย กลับบ้านพร้อมพ่อนะ อย่าลำบากอีกเลย เจอกันอีกที ขอให้เราสบายแล้ว พ่อจะไม่ให้ลูกลำบากและขัดสนอีกแล้ว ประมาณนี้ละค่ะ ฮือๆ

ความหมายของพ่อคือ พ่อไม่เคยให้ลูกได้อยู่อย่างสบาย จวบจนกระทั่งตาย (พ่อมีอาชีพรับจ้าง ค่าแรง 150/วัน ในข่าวไม่ได้กล่าวถีงแม่) ส่งให้ลูกชายทั้งสองคนเรียนด้วย คนโต ม.1 วันนี้ได้จากไปแล้ว แต่พ่อเค้าไม่มีกระทั่งเงินซื้อโลงให้ลูก เอาของโรงพยาบาล งานศพ ก็ต้องเป็นคนอื่นจัดให้ (นักการเมืองท้องถื่น) 2เรื่องนี้ต่างกันตรงที่

หญิงสาวเสียเงินไปเป็นหมื่น เพื่อกำจัดเด็กที่ไม่รู้เรื่องด้วย คนแล้ว คนเล่า

ขณะที่พ่อ พยายามทุกทางเพื่อจะยื้อชีวิตลูก ให้รอด แม้ว่าจะยากจน แต่ไม่สามารถทำได้ (มั่นใจว่าชาตินี้ทั้งชาติ พ่อเค้าคงคิดถึงลูกคนนี้ตลอดไป)

หญิงสาวคนดังกล่าว เธอลืมง่ายจัง และคงลืมไปแล้วหรือไรนะ ว่าเด็กที่จะเกิด เค้าจะต้องมาเป็นลูกเธอ เค้าก็อยากมีชีวิตอยู่นะ มีสิทธิอะไร ไปทำเค้าอย่างนั้น เมื่อไหร่เธอจะรู้สำนึกนะ เพราะ จากที่หมอเล่ามา คนนี้คาดว่าครั้งที่ 3 แล้ว เฮ้อ ปลง

เรื่องเศร้าของเราในรอบปีนี้เลยนะเนี่ย ต่อมน้ำตาแตกมากๆ
ขอให้น้องไปสู่สุขติทั้งสองคน น้อง ม.1 อย่างน้อยน้องก็โชคดีตรงได้รับความร้กที่บริสุทธิ์ จากพ่อแม่

แต่อีกคนนี่สิ ไม่ แม้แต่จะได้รับโอกาส จากแม่ใจร้ายที่ทำร้ายเค้าด้วยเหตุผลงี่เง่าส่วนตัว (สาธุ ขอให้บาป บุญ มีจริง)

ขอโหวตเลยค่ะ กระทู้นี้ ให้กำลังใจคุณหมอด้วย เข้มแข็งนะคะ ขอให้ลืมเรื่องราวร้ายๆ ได้ในเร็ววันค่ะ

จากคุณ : รักพ่อจัง (Bonsai) - [ 24 มิ.ย. 49 20:59:33 ]


เป็นอุทาหรณ์เตือนใจ

ความคิดเห็นที่ 98

อาจารย์เคยเล่าให้ฟังนะ มีหมอคนนึง เขาก็รับทำแท้ง(หมอจริงๆที่จบทางการแพทย์น่ะ) รายได้ก็ดีมากๆเรียกว่าร่ำรวยเลย หมอคนนี้เขามีลูกที่เรียนก็เก่งนะ 3 คน ลูกทั้งสามคนเขาก็ส่งไปเรียนที่เมืองนอก ทางพ่อก็ทำมาหากินด้วยการรับทำแท้ง ส่งเงินไปให้ลูก จนลูกเรียนจบกลับมาเมืองไทย เป็นที่ภาคภูมิใจของพ่อและตระกูลอย่างมาก เพราะลูกทั้งหน้าตาดี เก่ง รักพ่อรักแม่ เป็นเด็กดีน่ะว่างั้นเถอะ อยู่ต่อๆมาไม่นาน ลูกๆก็จากไปทีละคนๆ คนแรกประสบอุบัติเหตุทางรถตาย คนที่สองก็ป่วยตาย คนที่สามก็ตายเหมือนกันแต่ตายที่เมืองนอก
สรุปคือชีวิตของหมอคนนี้ไม่เหลืออะไรเลย

อีกกรณีเพื่อนที่เป็นพยาบาลเล่าให้ฟัง เพื่อนบอกว่าเวลาหญิงที่ทำแท้งมาจะรู้ได้เลย บางคนกลางคืนก็จะละเมอโวยาย ว่ามีเด็กเล็กๆมาไต่รอบตัว ให้หมอมาช่วยไล่ด้วย(คนที่ทำแท้งพวกติดเชื้อแล้วต้องนอนโรงพยาบาล ถ้านอนเตียงนี้เมื่อไร จะเจอผีเด็กมาไต่รอบตัว อันนี้คนไข้บอกนะ แต่พวกพยาบาลไม่เคยเจอ) บางคนก็บอกว่ามีเด็กมาดึงขา มาดึงผม

บางครั้งก็สงสารผู้หญิงนะ บางทีไม่รู้จะแก้ปัญหายังไง เวลาเกิดเรื่องทิ้งเด็ก ทำแท้ง คนที่โดนด่าหนักมักเป็นผู้หญิง ส่วนผู้ชายที่มีส่วนร่วม มักลอยนวลไม่คอยโดนด่า
(อ้อ...แต่ผู้หญิงคนที่คุณหมอเล่าให้ฟัง ไม่น่าสงสารเลยนะคะ)
เป็นกำลังใจให้คุณหมอนะ สู้ สู้

จากคุณ : ผักแป้น - [ 25 มิ.ย. 49 10:22:27 ]


รึ แชร์ประสบการณ์ของตัวเอง

ความคิดเห็นที่ 101

มาให้กำลังใจคุณ จขกท ค่ะ อ่านแล้วนึกถึงตอนตัวเองเรียนปีสุดท้ายที่ร.พ.มหาราช(โคราช) แผนกสูตินรีเวช เคสเยอะมากกกกกก
ยิ่งในช่วงที่เราขึ้นวอร์ดช่วงนั้น เค้าเรียก post valentine effect T_T บ้ามาก..... เจออย่างน้อยสองเคสต่อการขึ้นเวรหนึ่งครั้ง แล้วเราอยู่เวรวันเว้นสองวัน >>>>> กว่าจะลงจากแผนกนี้ ......รู้สึกได้เลยว่ามือนี่เต็มไปด้วยเลือด ....... วิธีการของพวกนี้คือ ไปหาหมอเถื่อน(ไม่เถื่อนมั่ง) ก็จะมีวิธี ทั้งเหน็บยา ทั้งฉีดน้ำเกลือ สาระพัด ซึ่งส่วนมากไม่ค่อยทำให้แท้งได้สมบรูณ์ค่ะ พวกนี้เค้าก็รู้ แต่ว่าเค้าไปทำเพื่อว่าพอเกิดการแท้ง ตกเลือดแล้ว มาที่ รพ.ด้วยภาวะตกเลือด จะเป็นเหตุผลบังคับให้แพทย์ทำให้แท้งนั้นให้จบสิ้น โดยการขูดมดลูก เพราะถ้ามาให้แพทย์ทำตั้งแต่แรก >>> แพทย์จะไม่ทำให้แน่นอน ค่ะ .....จึงให้วิธีนี้ (บีบคอกันชัดๆ เลย)

ค่ะ...ช่วงประมาณตี1ขึ้นไปนี่แหละเป็นเวลาเหมาะสมเลย T_T จะบ้าตาย >>>>> แล้วก็มาด้วยสาเหตุคล้ายๆ กัน +++ ลื่นล้ม!!!!!++++ บร้า ๆๆๆ คิดว่าหมอ กะ พยาบาลงี่เง่ามากนักรึไง เจออย่างที่คุณ จขกท บอกก็บ่อย ยาเหน็บคาอยู่จะๆ ตา เปิดประวัติดู เชื่อมั้ยคะ ว่า ครึ่งต่อครึ่งที่มาเป็นครั้งที่สอง หรือสามแล้ว อายุก็ราว17-20กว่าๆ ยังรุ่นๆ ทั้งนั้นเลย.......มีเคสนึง 20นิดๆ เอง ประวัติทำมาครั้งที่สามแล้วแฟนพามาเลย นั่งรออยู่หน้าห้องที่เราขูดมดลูก ทำไป(ขูดไป)ถามไป ถึงได้รู้ว่าแฟนพาไปทำแท้ง สาเหตุคือไม่พร้อมจะรับผิดชอบ อ๊ากกกกกก ตอนนั้ที่ทำปรี๊ดมาก +++ไม่พร้อมจะรับผิดชอบ!!! +++ ครั้งที่สามแล้วนะ(โว้ย) ทำไมไม่รู้จักป้องกัน ?แล้วก็ยังคบกันอยู่นี่นะ รักกันจริงมั้ยเนี่ย ทำเสร็จ เราออกไปวีนกับแฟนที่นั่งรออยู่หน้าห้อง(โหดมั้ย แต่มันแค้นนี่ ) +++ เพราะเคสนี้อายุครรภ์มากด้วย เลยตกเลือดมาก >>>เด็กแบบออกมาเป็นตัวเลยค่ะ (ไม่ใช่ก้อนเลือด)T_T จำได้ว่าทำเสร็จนอนไม่หลับเลย ก็นั่งเฝ้าอยู่ที่วอร์ดไปเลย ถึงเช้า

เรื่องขูดมดลูกสด>>>บอกตรงๆ นะคะ ว่า เคยมีการบอกต่อๆ กันมาว่าถ้ามีประวัติทำมาหลายๆครั้ง ไม่ควรฉีดยาชาให้ >>>เฮ้ออออ แต่เราไม่เคยทำนะ เพราะว่ายังไงก็คิดว่าที่ผู้หญิงต้องทำแท้งมาน่ะ สาเหตุไม่ได้มาจากเค้าฝ่ายเดียวหรอก แต่มันมีอีกคน(ตัวผู้) ที่ต้องรับผิดชอบด้วย ไม่อยากโทษฝ่ายหญิงอย่างเดียว ส่วนมากตอนทำเราจะเทศนา(แหะๆๆ อยากบอกว่าหมออายุยยังไม่20แต่พูดสอนเหมือนป้าแก่เลย)ผู้หญิงพูดเรื่องการ คุมกำเนิด เฮ้อ ก็สอนไป ไม่รู้เข้าหูบ้างมั้ย แล้วพอเสร็จก็ออกมาเฉ่งผู้ชาย (ไม่รู้ยังไง ชอบมากันเป็นคู่>>รึจะมาให้ชัวร์ว่าแท้ง แน่???) ต่อ .............. สรุปว่าส่วนตัวเราเห็นด้วยอย่างยิ่งกับการให้ความรู้กับเด็กในเรื่องการคุม กำเนิด หรือ การหาอุปกรณ์ที่เอื้อต่อการหามาคุมกำเนิด เพราะการจหยุดยั้งเรื่องการมีเพศสัมพันธ์อาจจะไม่สามารถทำได้ ในปัจจุบันนี้ สิ่งที่น่าทำคือทำยังไงไม่ให้เกิดผลตามมาเช่นโรคติดต่อ หรือ การตั้งครรภ์โดยไม่พึงประสงค์ **** ปล.ไม่ได้เห็นด้วยกับการมีเพศสัมพันธ์ก่อนเวลาอันควรนะคะ**** +_+ อย่ามาโพสต์ด่าเราล่ะ แชร์ความคิดค่ะ
แก้ไขเมื่อ 25 มิ.ย. 49 11:22:28

จากคุณ : รักครั้งต่อไปคือตัวชั้นเอง - [ 25 มิ.ย. 49 11:00:16 ]